Saturday, May 17, 2008

ทำไมต้องกินอาหารเสริม? (ตอนที่1)




ในพ.ศ. นี้คนเรามักป้อนอาหารที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารครบ ถ้วนให้แก่ร่างกาย เป็นต้นว่าอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งนักโภชนาการเรียกกันว่า อาหารขยะ ซึ่งไม่ได้มีสารอาหารสำคัญๆ ในอันที่จะให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ได้อย่างพอเพียง มีแต่จะ
ให้แป้งและไขมันเกินจำเป็นซะอีกด้วย และเมื่อร่างกาย อยู่ในภาวะขาดสารอาหารเมื่อใด ระบบต่างๆ ภายในร่างกายก ็จะทำงานได้ไม่เป็นปกติ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ระบบต่างๆ ทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ เมื่อนั้นก็เปรียบเสมือนเครื่องจักร ที่ทำงานแปรปรวน ส่งผลให้ร่างกายเกิดโรคภัยนานาประการได้อย่าง ฉับพลันทันที คนเราโดยมากไม่ได้คำนึง ถึงเรื่องอาหารการกินมากนัก เพราะคิดกันเพียงว่า กินอาหารให้อิ่มท้อง และอร่อยปากเท่านั้นก็เป็น การพอเพียงแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ ผิดมหันต์
อาหารทุกมื้อที่คนเรากินเข้าไปนั้น มิใช่เพียงไปก่อให้เกิดพลังงานแก่ร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว อาหารทุกมื้อที่คนเรากินเข้าไปนั้น มิใช่เพียงไปก่อให้เกิดพลังงานแต่ทว่า อาหารยังเป็นเสมือน ยาวิเศษ ที่จะเข้าไปบำรุงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มพละกำลังให้แก่ร่างกายอีกด้วย นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมเราต้องกินอาหารเสริม เนื่องเพราะอาหารในระดับปกติธรรมดา ยังมีคุณค่าสารอาหาร ไม่ครบถ้วนพอเพียงแก่ร่างกายของคุณไงล่ะ อาหารในพ.ศ. นี้มักมีสารเคมีปนเปื้อน ยากันบูด ยาเร่งให้เจริญ ซึ่งล้วนแล้วแต ่ก่อให้เกิด อันตรายแก่ร่างกายเมื่อ เรากินเข้าไปแล้ว ลองมาพิจารณา อาหารบางชนิดที่ คุณต้องรับเข้าสู่ร่างกายของคุณกันดีกว่า

น้ำอัดลม
ในน้ำอัดลมมักมีสีวิทยาศาสตร์และน้ำตาลทรายขาว ซึ่งหากกินมากๆ เข้าก็จะให้ผลเสียแก่ร่างกาย เพราะมีความเป็นกรดสูง แคลเซี่ยมในตัวคุณก็ จะถูกทำลายไปได้ง่าย เคลือบฟันที่คนเรามีอยู่ตามธรรมชาติ ก็จะถูกทำลายไปได้ในเวลา ไม่ช้าไม่นานเลยเป็นเบื้องต้น

น้ำตาลทรายขาว
คำว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" น่าจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดนัก เพราะน้ำตาลมีแต่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลเกี่ยวกับเกลือแร่ และวิตามินในร่างกาย น้ำตาลไม่มีสารอาหารที่จะเอื้อประโยชน์อันใดให้คุณเลยแม้แต่น้อย หากกินน้ำตาลมากๆ น้ำตาลมากๆ มีแต่จะทำให้ขาดวิตามินบี ที่มีผลโดยตรงต่อระบบประสาทและกระเพาะลำไส้ แน่นอนว่า แหล่งที่ผลิตน้ำตาลนั้นมีประโยชน์ อย่างเช่น อ้อย แต่ทว่ากว่า จะมาเป็นน้ำตาลทราย สีขาวสะอาด รสชาติแสนหวานได้ก็ต้องผ่านความร้อน ที่ทำลายสาร อาหาร ตามธรรมชาติให้หมดสิ้นไป หากคุณมักปวดหัวบ่อยๆ หรือว่ารู้สึกเชื่องช้าเฉื่อยชา รู้สึกว่าโพรงจมูกอักเสบ ฟันผุ เป็นเบาหวาน เป็นภูมิแพ้ เป็นโรคไขข้อ ประสาทไม่ดีเป็นริดสีดวง รู้สึกหัวใจทำงานไม่ดีนัก นั่นล่ะรู้ไว้เลยว่าอาการต่างๆ นี้ล้วนเกิดมาจาก น้ำตาลที่ร่างกายรับเข้าไปมากเกินจำเป็น นั่นเอง และถ้าคุณจะคำนึง ถึงหลักการที่ว่า น้ำตาลนั้นสำคัญ ต่อร่างกาย ก็อาจใช้ ความหวาน อื่นแทน อย่างเช่น น้ำอ้อยแท้ๆ น้ำผึ้งหรือน้ำตาล จากธรรมชาติอื่นๆ โดยตรงยังไม่แปรรูป เพราะนอกจาก จะไม่มีโทษ ยังมีแต่ ประโยชน์อีกด้วย การกินน้ำตาลทรายขาวมากเกินไป มีแต่จะทำให้น้ำตาล ในเลือดต่ำลง เพราะเมื่อร่างกาย ได้รับน้ำตาลมากเกินพอดี ตับอ่อนก็จะผลิตอินซูลินออกมา เพื่อจะมาเก็บน้ำตาล ซึ่งนั่นเองที่ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำลง และตับอ่อนที่หลั่งอินซูลินมากๆ ก็จะเสื่อมลงได้ไม่ยากเลย เมื่อนั่นแหละคุณจะมีอาการ เพลียง่าย หงุดหงิด ขี้ลืม ไม่แจ่มใส พาลเกเร กินพร่ำเพรื่อ หัวใจเต้นเร็ว และก็ขาดสมาธิอีกด้วย

พริก
คนเรามักต้องเหยาะพริกไทยโรยหน้าอาหารเกือบทุกจาน แต่ถ้ากินพริกไทยมากเกินไปก็จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดระคายเคือง แถมยังจะเป็นอันตรายต่อไป ตับ และลำไส้อีกด้วย พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้านั้นก็มีสรรพคุณทางยาที่ดีมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็แน่นอน สำหรับการกินมากเกินจำเป็นก็ย่อมจะให้โทษแก่ร่างกายได้เช่นกัน เพราะพริกมีพิษที่สามารถสะสมอยู่ในต่อมต่างๆ ก่อนจะไหลเรื่อยไปในเส้นเลือด อันเป็นเหตุ ให้เส้นเลือดอุดตันได้ เมื่อสารพิษนั้น เกาะกลุ่มรวมตัวกันมากขึ้น และกล้ามเนื้อต่างๆ ก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหมได้สะดวก กระดูกข้อต่อก็อาจเกิดอักเสบได้ ไม่ยากเลยในภาวะเช่นนั้น

เกลือทะเล/เกลือแกง
การกินเกลือมากเกินไป มีผลทำให้คุณต้องเผชิญกับโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคตับ โรคกรดใน กระเพาะอาหาร หัวใจไม่ปกติ ภูมิแพ้ ระบบประสาทไม่ผ่อนคลาย นอนไม่ค่อยหลับ โพรงจมูกอักเสบ เป็นต้น เกลือแร่ไอโอดีนนั้นให้ผลดีต่อสุขภาพของคุณ เช่นเดียวกับเกลือจากผัก และหากหลีกเลี่ยงเกลือทะเลไม่ได้ก็ให้ใช้ในปริมาณที่น้อยนิดเท่านั้น

ของหมัก/ของดอง
บรรดาผักดอง และเครื่องปรุงต่างๆ อย่างเช่น ซอสนานาชนิด และน้ำส้มสายชู นั้นไม่ให้ประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกายสักนิด และการกินมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายกับไต และกระเพาะอาหารได้ง่ายมาก

กาแฟ/ชา
คุณรู้ดีอยู่แล้วว่า ชา กาแฟ มีส่วนผสมของคาเฟอีน และทีโอโปรมีน ซึ่งเป็นสารร้ายแรง ที่มีผลต่อระบบประสาท หากคุณกินกาแฟวันละหลายแก้วทุกๆ วัน คุณเตรียมใจได้เลยว่าคุณมีสิทธิ์จะเป็นคน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เฉื่อยชา ความคิดตื้อๆ ตันได้ทันที แม้ว่าตอนกินเข้าไปแรก ๆ จะทำให้ตาสว่างหายง่วงไป ได้ก็ตาที คาเฟอีนนั้นเป็นตัวการร้าย ที่จะทำลายการดูดซึมแคลเซียมและก็ทำลายวิตามินบีอีกด้วย

ใครบ้างควรกินอาหารเสริม?

ความจริงแล้วคนเราทุกคนควรที่จะกินอาหารเสริมทั้งนั้นเพราะอาหารเสริม ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกายมีแต่จะให้ประโยชน์อันสูงสุดอีกด้วย แต่ทว่าบุคคลทั้ง 15 ประเภทต่อไปนี้จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องกิน "อาหารเสริม" หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

เด็ก
เด็กเล็ก ๆ มักกินอาหารตามแต่ใจชอบเท่านั้น และเด็กจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่ยอมกินผัก หรือเนื้อสัตว์บางชนิด และนั่นเป็นเหตุให้เด็กได้สารอาหารไม่ครบถ้วน จึงจำเป็นที่จะให้เด็กกินอาหารเสริม วิตามิน เกลือแร่ ซึ่งเป็นอาหารเสริมอันแสนสำคัญสำหรับเด็กๆ
สตรีมีครรภ์ แน่นอนว่าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ย่อมต้องการอาหารเสริมให้แก่ทารกในครรภ์ ดังนั้น วิตามินอ ีและบีรวม เกลือแร่และเหล็ก จึงจำเป็นเหลือเกินต่อร่างกายในช่วงนั้น
สตรีมีรอบเดือน
ช่วงเวลาที่คุณผู้หญิงมีรอบเดือนนั้น ภาวะในร่างกายจะขาดเกลือแร่ซึ่งร่างกายจึงควรได้รับ ไอโอดีน เกลือแร่ เหล็กเพื่อชดเชย และจะช่วยคลายอาการปวดเกร็งในช่องท้องได้อีกด้วย
สตรีวัยหมดประจำเดือน
ในวัยประมาณ 45-55 ปี สตรีจะหมดสิ้นการมีรอบเดือน และในช่วงนี้ร่างกายก็จะเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นปกติดังที่เรามักได้ยินกันว่าคนหมดประจำเดือน มักจะหงุดหงิดง่ายเหลือเกิน การลดอาหารประเภทแป้งและกินอาหารเสริมให้มาก ๆ จะช่วยปรับความสมดุลให้แก่ร่างกายได้ดีขึ้น
คนสูงอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น ความต้องการกินอาหารก็ลดลงไป การดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายก็เป็นไปอย่างลดลง ภาวะนี้ทำให้ร่างกายไม่ได้พลังงานใดๆ หรือสารอาหารใดๆ เลยจากอาหาร การกินอาหารเสริมจะทำให้ร่างกาย ไม่อ่อนแรงจนเกิดโรคภัยต่างๆ ได้ง่าย
นักดื่ม
ในการดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินปริมาณพอเหมาะนั้นจะทำให้ร่างกายของคุณขาดสารอาหาร นานาชนิด ซึ่งนักดื่มทั้งหลายควรกิน อาหารเสริมให้มากๆ เข้าไว้ แต่ถ้าคุณดื่มเพียงไม่มากนัก แอลกอฮอล์จะกระตุ้นหัวใจให้เลือดลมทำงานคล่องตัว มีความอยากรับประทานอาหารอีกด้วย
นักสูบ
คุณตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่แล้วแน่นอน แต่ถ้าคุณยังเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้ คุณก็ควรจะสนใจการกินอาหารเสริมเพื่อ ชะลอโรคภัยร้ายๆ ต่างๆ ให้เกิดขึ้นไม่เร็ว เกินไปนัก อย่างเช่น การกินวิตามินต่างๆ ที่มีความสามารถต้านโรคมะเร็งได้ คุณก็ควรกินวิตามินนานาชนิดนั้นให้มาก ๆ เพื่อป้องกันไว้ก่อน
คนลดความอ้วน
ในช่วงเวลาที่คุณควบคุมอาหารนั้น สารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายควรจะได้รับก็ต้องมีอัน หมดสิทธิ์อย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องควบคุมอาหาร ก็ขอให้กินอาหารเสริมอย่างเช่น พวก โปรตีนจากถั่วเหลือง วิตามินซี วิตามินอี เกลือแร่ แคลเซี่ยม วิตามินบี6 ไฟเบอร์ และแมกนีเซียม เป็นต้น
คนเครียด
ดูเหมือนว่าคนเครียดจะมีอยู่มากมายในปัจจุบันวันนี้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ทำไมเมื่อมีอาการเครียดจึงสมควร ที่จะกินอาหารเสริม นั่นก็เพราะว่าเมื่อคุณเริ่มเครียด "อะดรีนาลิน" (Adrenalin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดก็จะหลั่งออกมาอยู่ในกระแสโลหิต เป็นปริมาณมากมายซึ่งจะทำให้คุณปวดศีรษะ และเป็นต้นตออันจะก่อให้เกิดโรคเส้น เลือดอุดตันได้อีกด้วย และในวินาทีที่คุณเครียดนั้น ร่างกายของคุณมีความต้องการอาหารเสริมอย่างมากทีเดียว
ผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ซึ่งมีมลพิษสูง
ผู้ที่มักดื่มน้ำประปาอันมีคลอรีนสูง ผู้ที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์แข็งแรง ผู้ที่กินยาประเภทสเตอรอยด์และยาคุมกำเนิดซึ่งทำลายวิตามินและเกลือแร่ ในร่างกาย นักกีฬา หรือผู้ที่เล่นกีฬาเป็นประจำ

อาหารเสริมเหมาะสำหรับใครบ้าง?

วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ในรูปผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะมีประโยชน์ในการเสริมช่องว่างทางคุณค่าอาหารเป็นอย่างมากกับกลุ่มคนต่อไปนี้
• ราว 1 ใน 5ของผู้หญิงจะมีอาการเลือดจาง ซึ่งมักจะมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง แล็บและผิวหนังซีด ทางที่ดีที่สุดควรกินอาหารเสริมจึงจะช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้
• สำหรับผู้ที่กินอาหารไม่ครบทั้ง 3 มื้อ ควรกินวิตามินรวมเสริมเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ
• ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ ซึ่งได้รับแต่โปรตีนจากพืช ควรกินอาหารเสริมในกลุ่มวิตามินบี
• ผู้ที่สูบบุหรี่ควรกินวิตามินซีเป็นสองเท่าของปริมาณที่แนะนำ
• ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด หรือใช้ฮอร์โมนเสริม ควรกินหลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามินบี 6 บี 12 กรดโฟลิก และสังกะสี
• หญิงตั้งครรภ์ควรกินกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่กระดูกสันหลังของทารกในครรภ์
แม้จะมั่นใจว่าร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ อย่างเพียงพอแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และไม่ควรมองข้าม


โรคร้ายอันเกิดจากการขาดอาหารเสริม

1. โรคเยื้อจมูกอักเสบ 11.โรคความดันโลหิตสูง
2. โรคเก้าท์ 12.โรคลมปัจจุบัน
3. โรคแผลในกระเพาะอาหาร 13.โรคหมดสมรรถภาพทางเพศ
4. โรคอาหารไม่ย่อย 14.โรคมะเร็งในปอด
5. โรคชัก (ลมบ้าหมู 15.โรคถุงลมโป่งพอง
6. โรคต่อมธัยรอยด์ 16.โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
7. โรคตับ 17.โรคโลหิตจาง
8. โรคหัวใจ 18.โรคเหน็บชา
9. โรคมะเร็ง (ที่ตับ) 19.โรคเบาหวาน
10. โรคหลอดลมอักเสบ

ความจริงแล้วยังมีโรคภัยอีกนานาชนิดที่จะรบกวานและทำร้ายรังแกให้ร่างกายของคน เราเจ็บปวดและได้รับ อันตราย คุณคงตระหนักแล้วว่าการขาดสารอาหารหรือภาวะที่ร่างกาย มีอาการผิดปกติเป็นไปได้อย่างเห็นชัด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขาดวิตามินซี และวิตามินบีรวม คุณก็จะมีอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ขาดเสน่ห์ไปในทันที แต่ถ้ากินวิตามินบีรวมมากๆ อาการเหล่านี้ก็จะหมดสิ้นไป กลายเป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีเป็นนิจ แต่ทว่าโดยมากการขาดสารอาหารเสริม จะไม่มีผลเสียเล็กน้อยแค่ในเรื่องของอารมณ์เท่านั้น หากแต่จะมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายจนเป็น เหตุให้เกิด โรคใดโรคหนึ่งขึ้นมาได้ในที่สุด และแน่นอนว่าการรักษานั้นย่อมไม่ง่ายเท่ากับการป้องกันไว้ก่อน ด้วยการหันมาสนใจ เรื่องราว ของอาหา

Read More......

ผักเม็ดคืออะไร?


ผักเม็ด...

คือ สารคลอโรฟิลล์เข้มข้นสกัด จากวีทกราสและอัลฟัลฟา(wheatgrass & alfalfa) ที่ปลูกด้วยสารอินทรีย์ธรรมชาติบริสุทธิ์บนพื้นที่ที่ปราศจากปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ รวมทั้งสารกำจัด วัชพืชสังเคราะห์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารหลัก คือ คลอโรฟิลล์ และสารอาหารชนิดอื่นๆ ที่มี เช่น วิตามินเบต้า แคโรทีน วิตามิน B6 ,วิตามินเอ, วิตามินเค,วิตามินอี, วิตามินดี, แคลเซี่ยม และฟอสฟอรัส


วีทกราสหรือกล้าข้าวสาลี (Wheatgrass)

ได้รับการบันทึกใน ตำรายาของกรีก โรมัน และจีน มาแต่โบราณกาล ชาวจีนเชื่อว่าสีเขียวของข้าวสาลี Wheatgrass(ซึ่งหมายถึงคลอโรฟิลล์)สามารถฟอกเลือดและเพิ่มพลังชีวิต เมล็ดข้าวสาลีสามารถเก็บเกลือแร ่จากผืนดินนับร้อยชนิด ทั้งยังอุดม ด้วยโปรดีน คลอโรฟิลล์ วิตามินเบต้าแคโรทีนบีและซีมีงานวิจัยมากมายระบุว่า ในกล้าข้าวสาลี(wheatgrass)มีสารต้านมะเร็งมากมาย เช่น กรดแอบซิลิควิตามินบี 17 และวิตามิน และวิตามินซี ในปริมาณสูง คุณแอนน์ วิกมอร์ นักธรรมชาติบำบัดในอเมริกาผู้มีชื่อเสียงได้ริเริ่มในการเพาะข้าวสาลีงอก แล้วเกี่ยวมาปั่นน้ำ เพื่อจะได้คุณค่าอาหารอันสุดยอดจากกล้า และเป็นที่เผยแพร่ไปทั่วโลกดร.เบนจามิน เกอร์สกิ้น แห่งมหาวิทยาลัยเทมเปิ้ลรายงานในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ เซอเจอรี่ว่า คลอโรฟิลล์เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ดี และอ้างถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางหู คอ จมูก 2 คน คือ นพ.เรดพาธ และ นพ.เดวีส ได้ใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคหู คอ จมูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแผลในเยื่ออ่อน ทั้งแผลตื้นและลึกในผู้ป่วยกว่า1,200 ราย ซึ่งผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจทั้งหมด

อัลฟัลฟา (Al-fal-fa) แปลว่า บิดาของอาหารทุกชนิด (Father of all food) เนื่องจากอัลฟัลฟาเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีรากหยั่งลึกลงไปใต้ดินจึงสามารถดูดซึมแร่ธาตุ ที่อยู่ลึกมากมนุษย์เรา นำกล้าที่กำลังงอก มารับประทาน เนื่องจากอุดมด้วยคลอโรฟิลล์วิตามินเอนไซม์และแร่ธาตุ ดร.แฟรงค์ไบเออร์นักชีววิทยา ที่เขียนตำราเกี่ยวกับ โภชนาการเลื่องชื่อของชาวอเมริกันขนานนามอัลฟัลฟา(alfalfa)ว่าเป็น "ยารักษาโรคที่มหัศจรรย์" เขาค้นพบว่า อับฟัลฟามีเอนไซม์สำคัญถึง 8 ชนิด มีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน 8,000 หน่วยวิตามินเค 20,000 - 40,000 หน่วย ทั้งยังเป็นแหล่งสำคัญของ วิตามินบี6 อี ดี ยู แคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส
** ทานผักเม็ด 1 เม็ด = ทานผักสด 2 กิโลกรัม**

คุณสมบัติที่ชัดเจนและทดสอบได้ของผักเม็ด (คลอโรฟิลล์)

อุดมด้วยสารอาหารทั้งหมด 92 ชนิด มีคลอโรฟิลล์เข้มข้น คลอโรฟิลล์ในวีทกราสและอัลฟัลฟา(wheatgrass and alfalfa)จะล้างพิษในร่างกายทำให้เลือดสะอาดและ ไหลเวียนดีขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รับประทาน จุและชอบรับประทานเนื้อสัตว์เมื่อเลือดดี ของเสียที่เป็นพิษจะถูกขับออกจากร่างกายเร็วขึ้น ทำให้ผิวพรรณผ่องใสมีสุขภาพที่ดีตามมาบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด จากการพยุง SOD factor ที่กระตุ้นเอ็นไซม์ในเลือด และ ช่วยลำเลียงเลือดดำอย่างมี ประสิทธ์ภาพเพิ่มตัวลำเลียงออกซิเจนในเลือด ทำให้ สร้างพลังงานได้มากขึ้นความเข้มข้นสูงกว่า 40 เท่า 1เม็ด เทียบเท่าผักสด 2 กิโลกรัม สร้างเม็ดเลือดใหม่ที่สะอาดและเพิ่มปริมาณมาก จะเห็นว่า หน้าตาและ ผิวพรรณ มีสีแดงมากขึ้น ร่างกายมีความทนทานมากขึ้น แข็งแรง ไม่เหนื่อยง่ายตรวจสอบ และแก้ไขร่างกายที่มีปัญหา เช่น ปวดตามร่างกาย, ไมเกรน, ภูมิแพ้, ปวดท้อง, ไขข้อ และอื่นๆ ทำให้เกิดอาการขึ้นมาอีก ก่อนที่จะหายไป ผู้ที่มีสารตกค้างตามร่างกายเช่นยาทาน,ฝุ่นมลพิษ,ยาฆ่าแมลง,สารตกค้างจากเหล้า, ฮอร์โมนเร่งจากเนื้อสัตว์ หลังทาน จะถูกขับออกมาตามร่างกาย ตามแขน ขา หรือ บริเวณคาง ทำให้เป็น ผื่นคัน หรือ สิวการลดลงของสารพิษ จะรักษาสมดุลและความหนืดของน้ำตาลในเลือด ทำให้สภาวะของน้ำตาลในเลือดดีขึ้นดื่มเหล้าจนเมา ทาน 2 เม็ดก่อนนอน เช้ามาไม่มีอาการปวดและมึนศีรษะ(แฮงค์)เหมือนไม่ได้ดื่มเลย กัด และเกลี่ยให้ทั่วปากจะทำให้ไม่มีกลิ่นปาก อีกทั้งลดอาการเสียวฟันด้วย ถึงแม้ว่าก่อนนอน จะไม่ได้แปรงฟัน ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า ทำให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเชื่อว่าช่วยระบบภูมิต้านทาน ที่ต่อสู้กับโรคมะเร็งและโรคการเสื่อมถอยชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการผิดปกติของเซลล์ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก เช่นผู้สูงอายุ ทานต่อเนื่องเกิน 5 เดือนจะไม่มีปัญหาอีกเลย และ ไม่ต้องกลัวหกล้ม ผู้มีปัญหาผมบาง หรือ ผมร่วง จะทำให้ผมร่วงก่อน แล้วขึ้นใหม่จะแข็งแรง ไม่หลุดร่วง

Read More......

เคล็ดการใช้อำนาจบุญแก้กรรม-ปัญหาชีวิต โดยพระอาจารย์เกษม



พวกเราชาวพุทธแต่ละคน ล้วนเคยทำบุญ ให้ทานมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งในชาตินี้และในชาติก่อน ๆ ถ้าจะนับบุญก็คงจะใหญ่เท่าก้อนโลก แต่ไม่รู้จักใช้บุญของตนเองให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันชาติ จึงต้องรอให้ตายก่อนแล้วจึงไปรับบุญในสวรรค์ คนทำบุญจึงชอบบ่นว่า ทำแต่บุญไม่เห็นได้ดีสักที
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ
เราไม่เคยให้บุญแก่เทวดาที่รักษาตัวเอง ไม่เคยให้บุญแก่นายเวรที่ตามจองล้างจองผลาญกันอยู่ ไม่เคยให้บุญแก่เทวดาและญาติทิพย์ ที่อาศัยอยู่ในเขตบ้านในเขตเรือนของเรา เทวดาเหล่านั้นบางองค์อาจมีบุญน้อย มีฤทธิ์น้อย จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้มาก แต่ถ้าเขาได้รับบุญจากเราบ่อย ๆ เขาจะกลายเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์ มีอำนาจ สามารถช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จได้

บางคนอ้างว่าทำบุญทุกครั้งก็กรวดน้ำให้ญาติ ให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง โปรดเข้าใจว่า ท่านให้ไม่เป็น เขาจึงไม่ได้รับ เช่น ให้ไม่เจาะจง หรือแสงบุญหมดแล้วจึงมากรวดน้ำให้ เขาก็ไม่ได้รับ


การอุทิศบุญ

มี ๒ แบบคือ

๑. การอุทิศบุญทันที เมื่อมีการให้ทาน

ขณะที่มีการให้ของแก่ใครก็ตาม กระแสบุญจะแผ่ออกจากตัวผู้ให้เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่ของหลุดจากมือผู้ให้ จากนั้นกระแสบุญนี้ก็จะพุ่งหายขึ้นไปสะสมเป็นกองบุญของผู้ให้ เก็บไว้บนสวรรค์ ดังนั้น ขณะที่เราให้ของกับใคร เราจึงควรอุทิศบุญในทันทีที่ของหลุดจากมือเรา โดยการให้คิดว่า “บุญนี้ให้ถึง............” เพราะนอกจากผู้ที่เราอุทิศให้จะได้รับบุญในทันทีแล้ว กระแสบุญของเราก็จะยิ่งไปสะสมเป็นกองบุญของเรา มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

ฉะนั้น เมื่อมีการให้ทาน เราจะต้อง อุทิศบุญหลังจากที่ของนั้นหลุดจากมือในทันที ไม่ใช่ยกของขึ้นมาจบอุทิศตั้งแต่ก่อนให้ทาน หรือให้ทานเสร็จไปนานแล้วจึงค่อยอุทิศ หรือรอให้พระว่า “ยะถา” ก่อนแล้วจึงเทน้ำอุทิศ ถ้าเช่นนั้นผู้ที่เราอุทิศบุญให้นั้นจะไม่ได้อะไร เพราะตอนเทน้ำไม่มีสัญญาณบุญปรากฏ เราจึงควรให้ของทีละชิ้น อุทิศบุญให้ทีละกลุ่ม หรือทีละคน เช่น เวลาเราเอาของถวายพระ ยกข้าวถวาย พอข้าวหลุดจากมือปั๊บ ให้อุทิศบุญทันทีว่า “บุญนี้ให้ถึงญาติข้า” พอยกแกงถวาย พอชามแกงหลุดจากมือปั๊บ ให้อุทิศทันทีว่า “บุญนี้ให้ถึงเทวดาที่รักษาข้า” พอยกกับข้าวอย่างอื่นถวายพอของนั้นหลุดจากมือปั๊บ ให้อุทิศทันทีอีกว่า “บุญนี้ให้ถึงนายเวรข้า” พอยกน้ำถวาย ขวดน้ำหลุดจากมือปั๊บ ให้อุทิศทันทีอีกว่า “บุญนี้ให้ถึงเชื้อโรคของข้า” ถ้าต้องการจะอุทิศให้ใครเป็นการเฉพาะก็ให้ใส่ชื่อคน ๆ นั้นลงไป เช่น “บุญนี้ให้ถึงนาย หรือนาง......................” เป็นต้น

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรงที่เราสมควรจะอุทิศบุญให้ มีดังนี้

๑. ญาติของข้า
๒. เทวดาที่รักษาข้า
๓. นายเวรของข้า
๔. เชื้อโรคที่รบกวนข้า

เชื้อโรคก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง นายเวรก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่กวนเรา เทวดาผู้รักษาก็เป็นสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งรักเรา ญาติเราก็คือสัตว์ที่เกี่ยวข้องกันโดยสายเลือดมาก่อนแล้วตายจากกันไป หรือยังอยู่ แต่ถ้ายังอยู่ก็ไม่ต้องอุทิศบุญให้ ให้เราอุทิศบุญให้ผู้ที่รักษาเขา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาตามบ้านเรือน ผู้อยู่ข้างในข้างนอกตัวเขา

หรือจะจำแนกประเภทออกตามภูมิของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราอยู่ ก็ให้อุทิศบุญให้แก่ เทวดา เปรต ผี ปีศาจ ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ มาร และพรหม ทั้งฝ่ายนายเวร และฝ่ายญาติของข้า

เทวดา เปรต ผี ปีศาจ ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ อสูร จะถึงความเจริญขึ้น มีสง่าราศีที่ดี ถ้าเขาอธิษฐานบุญจ่ายไปในทางที่ดี หรืออธิษฐานพลังงานของเขาไปยังผู้คน ให้คนคิดในสิ่งที่ดี ๆ เขาจะได้บุญตรงนั้น

การอุทิศบุญ ให้อุทิศบุญให้ทีละกลุ่ม อย่าให้แบบให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เหมือนเวลาเราส่งก๋วยเตี๋ยวให้กับคนหลาย ๆ คน ให้ส่งทีละชาม อย่าเอาก๋วยเตี๋ยวใส่หม้อใหญ่ ๆ แล้วสาดเข้าไปในฝูงคนทีเดียว

การอุทิศบุญในขณะที่ได้ใส่บาตรหรือได้ถวายของพระนั้น เมื่อของหลุดจากมือของตนปั๊บให้รีบคิดอุทิศบุญทันทีอย่าชักช้า แล้วก็ไม่ต้องไปกรวดน้ำให้เสียเวลา เพราะ บุญจะสำเร็จแก่ผู้ที่อยู่ในโลกทิพย์ จากการอุทิศให้ทันที ไม่ใช่สำเร็จเพราะการกรวดน้ำ

การอุทิศบุญหากอยากเทน้ำ ก็ให้เทหลังจากเราอุทิศแล้วก็ได้ เทให้ใครดื่มกินนั้นเป็นบุญ แต่ถ้าเทแล้ว เอาไปเททิ้งอาจจะเกิดบาปได้ เมื่อเข้ารูมด รูปลวก

ถ้าแปลตรง ๆ จาก ยะถา วาริวะหา, สัพพีติโย และภะวะตุ สัพพะมังคะลัง

ยะถา วาริวะหา แปลว่า ห้วงน้ำที่เต็มย่อมทำให้สมุทรสาครเต็มเปี่ยมด้วยน้ำได้ฉันใด ทานที่เราให้แล้วในโลกนี้ อุทิศไปแก่ผู้ละโลกนี้เต็มเปี่ยมเหมือนน้ำในมหาสมุทรฉันนั้น อิฐผล (ผลเป็นที่พอใจ) ทั้งหลายที่เราตั้งใจให้ทานแล้วอุทิศ มันเกิดมากกับเขาอย่างนั้น เกิดมากตลอดกาลในขณะที่เราอุทิศ และไปเกิดกับเขาโดยเร็วพลันด้วย และเมื่อเขาได้บุญแล้ว จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติ ระโส ยะถา ฯ สว่างไสวเหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ

และเมื่อเต็มเปี่ยมอย่างนั้นแล้วทีนี้เขาก็ดีใจ พวกนายเวร พวกเชื้อโรค พวกใครต่อใครที่ก่อกวนเรา เขาดีใจเขาก็วาง ความจัญไรที่เขานำมาใส่ เขาก็จะพาหนี สัพพีติโย ความจัญไรทั้งหลาย วิวัชชันตุ จากเราไป สัพพะโรโค วินัสสะตุ โรคทั้งหลายก็จากเราไป ภะวัตวันตะราโย อันตรายก็จากเราไป สุขี ทีฆายุโก ภะวะ สุขทั้งหลายก็เข้ามา เมื่อได้ความสุขก็เจริญยาวนาน

เมื่อเรารู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ มีการกราบไหว้ต่อ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ทั้งหลายอยู่ ความเจริญย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำเช่นนี้ มี ๔ อย่างคือ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง มีอายุยืนยาว มีผิวพรรณ ผุดผ่อง มีสุขอันยิ่งใหญ่ มีกำลังมหาศาล ทีนี้เมื่อความเจริญทั้ง ๔ มีเกิดขึ้นกับเราแล้ว เราอยู่สบายเพราะว่าเราได้สร้างมงคลแล้ว

มงคลคือสิ่งที่ดีครอบคลุมตัวเราทั้งหมดเรียกว่ามงคล ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง อันมงคลเราได้ทำแล้ว รักขันตุ สัพพะเทวะตา เทพยดาทั้งหลายจงรักษาผู้ทำบุญ สร้างความดี สร้างมงคลนี้แล้ว

สัพพะพุทธานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า สัพพะธัมมานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม สัพพะสังฆานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ดังนี้ สะทาโสตถี ขอความสุขสวัสดีทั้งหลายทั้งปวง ภะวะตุ เต ฯ จงมีแก่พวกท่านทั้งหลายเทอญ.
อนุโมทนารัมภคาถา

ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนฺติ สาครํ....เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺติ....
ห้วงน้ำที่เต็ม ย่อมยังสมุทรสาคร ให้บริบูรณ์ได้ฉันใด....ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว ฉันนั้น
อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ...ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
ขออิฐผล (ผลเป็นที่พอใจ) ที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว....จงสำเร็จโดยฉับพลัน
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา....จนฺโท ปณฺณรโส ยถา....มณิ โชติรโส ยถา
ขอความดำริทั้งปวง จงเต็มที่....เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ....เหมือนแก้วมณี อันสว่างไสว ควรยินดี

ที่มา..หนังสือสวดมนต์แปล พระศาสนโศภน (จตฺตสลฺโล) วัดมกุฏกษัตริยาราม ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๑

เมื่อให้ทาน ขอให้อุทิศพร้อมในขณะเมื่อวางสิ่งของให้ทาน ขาดจากสิทธิของตนเมื่อใด ให้อุทิศพร้อมกับที่ตนขาดสิทธิ์ในเมื่อนั้น ในวินาทีเดียวกันนั้น ผลบุญจะปรากฏแก่ผู้ที่เราอุทิศบุญให้อย่างแน่นอน

การให้ทานให้อุทิศบุญออกทันที นี่คือวิธีการสร้างความเจริญให้แก่ปัจจุบันและอนาคต แต่ถ้าให้ทานแล้วไม่อุทิศบุญ นั่นคือการสร้างความเจริญให้แต่อนาคตของตนเองเพียงอย่างเดียว พวกทำความดีแล้ว ใจแคบ ทำความดีแล้วไม่เอื้อเฟื้อ คือทำความดีแล้วไม่รู้จักอุทิศบุญ เหมือนกับมีของไม่รู้จักแจก หากเวลาคับขันก็จะไม่มีใครมาช่วยเหลือเรา
การทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศให้ใคร บุญจะเป็นของเราเท่านั้น เช่น ถ้าเราทำบุญ ๑๐๐ บาท ผลบุญเป็นของเรา ร้อยล้าน มันก็จะอยู่แค่ร้อยล้าน แต่ถ้าเราอุทิศบุญด้วย มันจะออกเป็นพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน คือมีกำไรที่เกิดจากการอุทิศบุญเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งอุทิศยิ่งได้

การที่คนให้ทานเพื่ออุทิศ มันเป็นบุญ ๒ ทอด พระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญและพาทำ แต่ถ้าให้ทานอย่างเดียว มันเป็นบุญทอดเดียว ไม่แผ่กระจายกำไร

ก่อนที่เราจะอุทิศบุญ ถ้ากลัวว่าผู้ที่เราอุทิศบุญไปให้นั้นจะไม่ได้รับ ให้อธิษฐาน “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลกระแสคิดนี้ ให้ถึงญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร และเชื้อโรคของข้า ฟังไว้ข้าจะอุทิศบุญแล้ว ต่อไปขอให้พวกท่านตั้งใจรับ รับแล้วรักษากันให้ถูกต้อง บรรดานายเวรทั้งหลายจงปลดปล่อยวาง บรรดาเชื้อโรคจงถอยไป เปลี่ยนแปลงจากภูมิต่ำเป็นสูงด้วยเถิด”

การอุทิศบุญหากรู้ว่าเปรต หรือเทวดาที่เป็นญาติอยู่ใกล้ ให้อุทิศเป็นวาจาเลยก็ได้ รู้ว่าอยู่ไกลอุทิศเป็นกำลังความคิด เรียกว่าแรงอธิษฐาน หรือใช้ความคิดอยู่ภายในไม่พูด การอุทิศเช่นนั้นเป็นประโยชน์ทั้งใกล้และไกล

ความคิดเห็นจากผู้รวบรวม การอุทิศบุญถ้ากลัวว่าผู้ที่เราอุทิศบุญไปให้จะไม่ได้รับ ควรใช้ทั้งการเปล่งเสียงออกมาเป็นวาจาอุทิศ และการใช้ความคิดอุทิศ ไม่ว่าผู้ที่เราอุทิศบุญให้จะอยู่ใกล้หรือไกล ทั้งนี้ให้ดูกาลเทศะด้วยว่าไปรบกวนโสตประสาทคนรอบข้างหรือไม่ หากจะเปล่งเสียงออกมาเป็นวาจาอุทิศ

ถ้าจะอุทิศบุญให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้อุทิศบุญไปให้ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร และเชื้อโรค ที่เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้น จงรักษาท่านผู้นั้นให้ปลอดภัยด้วยเถิด

เวลาทิ้งเศษอาหารลงในแม่น้ำ ลำคลอง มีปลามากิน มีสัตว์ในน้ำมากิน เราอุทิศบุญได้ อุทิศให้กับผู้รักษาน้ำ น้ำจะไม่สกปรก เพราะผู้รักษาน้ำเขาจะรักษาดี

แม้แต่ขับถ่ายออกมา หรือเทขยะลงในบ่อโสโครก หลุมโสโครก คิดว่าให้เป็นอาหารกับสัตว์ในบ่อโสโครก หลุมโสโครกก็เป็นบุญ อุทิศบุญให้พวกนายเวร พวกเชื้อโรคได้

การร่วมยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นให้ทานหรือทำความดีต่าง ๆ (การร่วมอนุโมทนาบุญ) จะมีบุญเกิดขึ้นกับเรา ฉะนั้นให้เราอุทิศบุญนั้นออกได้ทันที
หมายเหตุ การทำบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ หากผู้ทำมีการยินดี หรือมีความสุขในการทำ เช่น การให้ของกับใครก็ตาม การทำกับข้าวให้ครอบครัว การให้เงินลูก การให้ข้าวสุนัข ให้ข้าวแมวกิน หรือการทำอะไรให้ผู้อื่น ก็ถือว่าเป็นบุญทั้งสิ้น สามารถอุทิศบุญได้

การอุทิศบุญนี้ทำได้ทุกชาติ ทุกศาสนา หากว่านับถือศาสนาอื่น เมื่อให้สิ่งของกับใคร ก็ให้อธิษฐานว่า “ความดีนี้ให้ถึง.............”

Read More......

Tuesday, May 13, 2008

ความเป็นมาของคลอโรฟิลล์

สารประกอบคลอโรฟิลล์ได้รับการค้นพบสูตรโครงสร้างทางเคมีครั้งแรกเมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ศาสตราจารย์ ฮาน์ส ฟิชเชอร์ (Hanns Fisher,M.D.)และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล (Noble’s Prize) เนื่องจากสามารถใช้ความเร้นลับของคลอโรฟิลล์ได้สำเร็จ และจากการค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า สูตรโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับสูตรโครงสร้างของสารประกอบ ฮืม(Heme) ที่เป็นโครงสร้างหลักของเม็ดเลือดแดง(Red Blood Cell) ของคนเราอย่างมาก

และจากการวิจัยทางการแพทย์ หลายการวิจัยก็ยืนยันได้ว่า ร่างกายของคนเราก็สามารถนำเอาสารคลอโรฟิลล์นี้ไปเป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการสร้างเม็ดเม็ดเลือดแดงได้เมื่อร่างกายต้องการโดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายของเราเกิดความบกพร่องในการสร้างเม็ดเลือดแดงเนื่องจากขาดสารอาหาร อย่างเช่น ในภาวะโลหิตจาง ( Anemia)ฯลฯ

เป็นที่ทราบกันดีว่าคลอโรฟิลล์เป็นรงควัตถุที่พบในพืชที่มีสีเขียว และใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โครงสร้างของคลอโรฟิลล์นั้นคล้ายคลึงกับ ฮืม(Heme) ในฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง จึงมีผู้เรียกคลอโรฟิลล์ว่าเป็น “the blood of plants” จึงมีการศึกษาถึงฤทธิ์ของคลอโรฟิลล์ดังนี้


1. ต่อต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์ และลดอัตราการเกิดมะเร็ง
2. ฤทธิ์ในการต้านการติดเชื้อ
3. กำจัดกลิ่นที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกาย
4. ช่วยในการรักษาบาดแผล
5. รักษาอาการท้องผูก
6. ช่วยลดพิษหรืออาการข้างเคียงจากยาบางชนิดได้
7. รักษาภาวะนิ่วชนิด calcium oxalate stone
8. กระตุ้นการสร้างเลือดในผู้ป่วยโลหิตจางได้
9. ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย
10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกชิเจนเข้าสู่เซลล์
11. ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ และไต
12. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
13. ปรับสมดุลให้กับร่างกาย
14. ให้ความสดชื่น
15. ผิวพรรณสดใส
16. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
17. มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
18. เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ


Read More......

Thursday, May 1, 2008

คลอโรฟิลล์ คืออะไร?


คลอโรฟิลล์ คืออะไร คลอโรฟิลล์ เป็น pigment ที่พบในพืชที่มีสีเขียวและใช้ในการสังเคราะห์แสงของพืช โครงสร้างนั้นคล้ายคลึงกับ Hemeในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเลือด มีงานวิจัยสรุปออกมาว่า เมื่อร่างกายได้รับคลอโรฟิลล์ บางส่วนของคลอโรฟิลล์จะถูกเปลี่ยนเป็น Heme ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพิ่มมากขึ้น และในคลอโรฟิลล์มีแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย
ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ - ช่วยในกระบวนการล้างสารพิษในเลือด และขจัดของเสียสะสมในร่างกาย ทำให้ สุขภาพดีขึ้น - ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ฟอกเลือดให้สะอาด - ช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ - ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ลดปัญหาเส้นเลือดขอด - เสริมสร้างภูมคุ้มกัน ลดรอยคล้ำใต้ตา ใบหน้าหมองคล้ำ - ช่วยแก้ปัญหากระเพาะลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผลเปื่อย - ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน - ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า - ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย - รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลถลอก แผลโดนไฟ - เหงือกอักเสบ หรือแผลในปาก ทำให้หายเร็วขึ้น - ช่วยลดรอยคล้ำรอบดวงตา - ลดอาการภูมิแพ้ ผื่นลมพิษ แพ้อากาศ โรคหอบหืด - ปรับสมดุลกรดด่าง ในโรคเก๊าท์ รูห์มาตอยด์ เบาหวาน แผลริดสีดวง ผู้ดื่มสุรา

ประวัติการค้นคว้า ในปี 1915 Dr.Richard Wilstatter ได้รับรางวัลโนเบล จากการค้นพบโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ ในปี 1961 นักวิทยาศาสตร์ ชื่อ Melvin Calvin ได้รับรางวัลโนเบล ในการค้นคว้าความสัมพันธ์ของคลอโรฟิลล์ในใบพืช มีส่วนสำคัญในขบวนการสังเคราะห์ จากนั้นเพียง 15 ปี Dr.Hans Fisher ได้รับรางวัล โนเบลจากการค้นพบโครงสร้างของอะตอมเม็ดเลือดแดง (Heme) มีโครงสร้างเหมือนคลอโรฟิลล์ จากงานวิจัยสรุปได้ว่า เมื่อร่างกายได้รับคลอโรฟิลล์ บางส่วนของคลอโรฟิลล์จะถูกเปลี่ยนเป็นฮีม ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพิ่มมากขึ้น

Read More......

อีเมลล์ติดต่อเรา :

Your Name :
Your Email :
Your Website :
Subject :
Your Message :
Highlighted fields are required