Monday, June 9, 2008

ประโยชน์ของอัลฟัลฟาในการดูแลสุขภาพด้านต่างๆ



Alfalfa ใด้ถูกใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์มาตั้งแต่ในสมัยโบราณ โดยแพทย์ชาวจีนได้ใช้ใบ Alfalfa อ่อนในการรักษาอาการย่อยไม่ปกติ เช่นเดียวกันกับแพทย์ชาวอินเดียที่ใช้ใบ และดอกสำหรับการรักษากระบวนการย่อยที่ทำงานได้น้อย นอกจากนี้

Alfalfa ยังใช้เพื่อการบำบัดโรคข้อต่ออักเสบ ชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือได้แนะนำให้ใช้
Alfalfa ในการรักษาโรคดีซ่าน และช่วยสนับสนุนการจับตัวของเลือด แพทย์ที่ใช้สมุนไพรเพื่อการบำบัดในสหรัฐอเมริการได้แนะนำให้ใช้
Alfalfa เป็นยาสำหรับอาการย่อยไม่เป็นปกติ ภาวะโลหิตจาง เบื่ออาหารและอาการการดูดซึมอาหารไม่ดี นอกจากนี้ยังแนะนำว่า
Alfalfa มีส่วนกระตุ้นให้การหลั่งน้ำนมในแม่ดีขึ้นอีกด้วย

สารที่ประกอบอยู่ใน Alfalfa
ด้วยระบบรากที่มีประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุอาหารมากกว่าพืชชนิดใด ๆ เป็นผลให้ Alfalfa เป็นพืชที่มีส่วนประกอบของสารต่าง ๆ มากมาย มี กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายถึง 8 ชนิด เช่น lsoleucine, Leucine, Lysine, Methionine เป็นต้น ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ในการสร้างเซลล์ใหม่ อีกทั้ง Alfalfa ยังมีวิตามินอีกมากมาย รวมถึง วิตามิน A, B1, B6, B8, B12, C, D, E, K, P และ U รวมทั้งยังประกอบไปด้วยเกลือแร่อีกหลากชนิด เช่น ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม แคลเซียม สังกะสี เซเลเนียม และแมกนีเซียม เป็นต้น และยังมีเอนไซม์หลักอีกถึง 8 ชนิด คือ ไลเปส อาเมเลล โคกุเลส อีมูลซิน อินเวอร์เคส เปอร์อ๊อกซีเตส เพดติเนส โปรตีส นอกจากนี้
Alfalfa ยังมีส่วนประกอบของสารอื่น ๆ อีก เช่น Betacarotene, Bioflavinoids, Carotene, Chlorine Chlorophyll , flavone, isoflavone, sterol และ Saponin เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่ให้คุณต่อร่างกายด้วยกันทั้งนั้น

Alfalfa กับการใช้เพื่อสุขภาพสตรีวัยใกล้หมดประจำเดือน
สตรีวัยใกล้หมดประจำเดือน ควรรับประทาน Alfalfa เป็นประจำ
สาร isoflavone ใน Alfalfa ถูกจัดเป็นเอสโตรเจนธรรมชาติ (phytooestrogen) ในสตรีในวันใกล้หมดประจำเดือน เอสโตรเจนจะลดต่ำลงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายและภาวะกระดูกเสื่อม ไฟโต-เอสโตรเจนใน Alfalfa จะเข้าไปชดเชยเอสโตรเจนที่ต่ำลงนี้ รวมทั้ง วิตามินดี แร่ธาตุ แคลเซียมและฟอสฟอรัส ใน Alfalfa ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ทำให้กระดูกฟันแข็งแรง จึงลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกเสื่อม
นอกจากนี้วิตามินและแร่ธาตุใน Alfalfa จะช่วยให้ร่างกายปรับสภาพได้อย่างเหมาะสม ลดอาการผิดปรกติในช่วงนี้ของอายุ เช่น อาการร้อนวูบวาบตามตัว หงุดหงิดง่ายลงด้วย

ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของ Alfalfa

Alfalfa กับภาวะ คลอเลสเตอรอล สูง
จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า สาร saponin และส่วนประกอบอื่นใน Alfalfa มีความสามารถในการยึดติดใน คลอเลสเตอรอล กับเกลือน้ำดีซึ่งจะเป็นผลช่วยป้องกันหรือชลอการดูดซึม คลอเลสเตอรอล จากอาหาร ดังนั้นจึงช่วยให้ระดับ คลอเลสเตอรอล ในเลือดต่ำ ป้องกันการเกิดภาวะการสะสมไขมันในหลอดเลือด ในการศึกษาผู้ป่วย 15 คน โดยให้ Alfalfa ขนาด 40 กรัม 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่า คนไข้มีระดับ คลอเลสเตอรอล รวมและ คลอเลสเตอรอล แบบ LDL (คลอเลสเตอรอล ชนิดเป็นโทษ) ลดลง 17-18% ในขณะที่มีบางส่วนลดลงถึง 26-30% จึงอาจกล่าวได้ว่า Alfalfa มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับความเข้มข้นของ คลอเลสเตอรอล ให้เป็นปกติ

Alfalfa ช่วยทำความสะอาดผิวจากภายใน
ครอโรฟิลล์ ปริมาณสูง วิตามิน และแร่ธาตุที่มีอยู่ใน Alfalfa ด้วยปริมาณที่เหมาะสม จะทำหน้าที่ขจัดของเสีย สารพิษออกจากเลือดและอวัยวะภายใน (Blood and Bowel cleanser) ลดการตกค้างของเสียตามผิวหนัง ทำให้เลือดสะอาดและไหลเวียนได้ดีขึ้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รับประทานมากและชอบรับประทานเนื้อสัตว์ เมื่อเลือดดีขึ้นทำให้ผิวพรรณผ่องใสมีสุขภาพที่ดีตามมา นอกจากนี้ใน Alfalfa ยังมีสาร ไฟโต-เอสโตรเจน ช่วยปรับสมดุลย์ฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งพบว่าในคนที่มีสิวง่าย เมื่อรับประทาน Alfalfa ปริมาณการเกิดสิวจะลดลงและผิวจะดูสะอาดขึ้น

Alfalfa กับโรคกระเพาะอาหาร
มีแพทย์จำนวนมากที่ใช้ Alfalfa รักษาโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหารต่าง เช่น มีแก๊สมากในกระเพาะอาหารเกิดอาการจุกเสียดเป็นประจำ โรคแผลในกระเพาะอาหาร และโรคเบื่ออาหาร โดยพบว่า Alfalfa มีวิตามินยู ซึ่ง ดร. กาเนนท์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด กล่าวว่า วิตามินยู มีศักยภาพสูงในการรักษาโรคกระเพาะ ทำให้การสมานแผลในกระเพาะดีขึ้น และการหลั่งของน้ำย่อยเป็นปกติ


Read More......

Sunday, June 1, 2008

Wheatgrass: Wonder Healers



Most people who have explored the wondrously wide avenues of self-healing have heard about wheatgrass. Wheatgrass juice has been proven over many years to benefit people in numerous ways: cleansing the lymph system, building the
blood, restoring balance in the body, removing toxic metals from the cells, nourishing the liver and kidneys and restoring vitality. One ounce of wheatgrass juice has the vitamin and mineral equivalent of 2.2 pounds of fresh vegetables. It contains most of the vitamins and minerals needed for human maintenance, including the elusive B12. Many of the benefits of wheatgrass juice stem from the fact that it is a living food, which is a complete protein with about 30 enzymes and is approximately 70% crude chlorophyll. To be effective wheatgrass juice has to be drunk immediately after juicing and, up until now, has not been easy to grow at home in the quantities required for healing, so wheatgrass has not achieved the popularity it deserves.
Healing with Wheatgrass Juice
1. Wheatgrass Juice is one of the best sources of living chlorophyll available.
2. Chlorophyll is the first product of light and, therefore, contains more light energy than any other element.
3. Wheatgrass juice is a crude chlorophyll and can be taken orally and as a colon implant without toxic side effects.
4. Chlorophyll is the basis of all plant life.
5. Wheatgrass is high in oxygen like all green plants that contain chlorophyll. The brain and all body tissues function at an optimal level in a highly-oxygenated environment.
6. Chlorophyll is anti-bacterial and can be used inside and outside the body as a healer.
7. Dr. Bernard Jensen says that it only takes minutes to digest wheatgrass juice and uses up very little body energy.
8. Science has proven that chlorophyll arrests growth and development of unfriendly bacteria.
9. Chlorophyll (wheatgrass) rebuilds the bloodstream. Studies of various animals have shown chlorophyll to be free of any toxic reaction. The red cell count was returned to normal within 4 to 5 days of the administration of chlorophyll, even in those animals which were known to be extremely anemic or low in red cell count.
10. Farmers in the Midwest who have sterile cows and bulls put them on wheatgrass to restore fertility. (The high magnesium content in chlorophyll builds enzymes that restore the sex hormones.)
11. Chlorophyll can be extracted from many plants, but wheatgrass is superior because it has been found to have over 100 elements needed by man. If grown in organic soil, it absorbs 92 of the known 102 minerals from the soil.
12. Wheatgrass has what is called the grass-juice factor, which has been shown to keep herbivorous animals alive indefinitely.
13. Dr. Ann Wigmore has been helping people get well from chronic disorders for 30 years using wheatgrass.
14. Liquid chlorophyll gets into the tissues, refines them and makes them over.
15. Wheatgrass Juice is a superior detoxification agent compared to carrot juice and other fruits and vegetables. Dr Earp-Thomas, associate of Ann Wigmore, says that 15 pounds of Wheatgrass is the equivalent of 350 pounds of carrot, lettuce, celery, and so forth.
16. Liquid chlorophyll washes drug deposits from the body.
17. Chlorophyll neutralizes toxins in the body.
18. Chlorophyll helps purify the liver.
19. Chlorophyll improves blood sugar problems.
20. In the American Journal of Surgery (1940), Benjamin Gruskin, M.D. recommends chlorophyll for its antiseptic benefits. The article suggests the following clinical uses for chlorophyll: to clear up foul smelling odors, neutralize strep infections, heal wounds, hasten skin grafting, cure chronic sinusitis, overcome chronic inner-ear inflammation and infection, reduce varicose veins and heal leg ulcers, eliminate impetigo and other scabby eruptions, heal rectal sores, successfully treat inflammation of the uterine cervix, get rid of parasitic vaginal infections, reduce typhoid fever, and cure advanced pyorrhea in many cases.
George S. Bailey, Ph.D. - "Chlorophyll, the natural plant pigment that lends its color to grass, leaves, and many of the vegetables we eat, may play an important role in prevention of certain cancers. Researchers in the early 1980s discovered that chlorophylls and related chemicals can inhibit the ability of certain DNA-damaging chemicals to cause mutations in bacteria. How might this kind of "anti-mutagenic" activity be important in cancer prevention? Molecular geneticists now know that most if not all human cancers carry mutations in one or more genes that control the rates at which individual cells divide, differentiate, or die. According to current thinking, various combinations of mutations that upset this delicate balance to favor uncontrolled cell growth can then enable this irreversibly damaged cell to form a primary cancer in the lung, liver, blood, bone, skin, or another body organ. Therefore, it seems at least theoretically possible that the anti-mutagenic power of the chlorophylls might allow them to inhibit or reduce the formation of cancers in humans. Recent progress in our laboratory and elsewhere has brought this promise closer to realization."

Read More......

Saturday, May 17, 2008

ทำไมต้องกินอาหารเสริม? (ตอนที่1)




ในพ.ศ. นี้คนเรามักป้อนอาหารที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารครบ ถ้วนให้แก่ร่างกาย เป็นต้นว่าอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งนักโภชนาการเรียกกันว่า อาหารขยะ ซึ่งไม่ได้มีสารอาหารสำคัญๆ ในอันที่จะให้ประโยชน์แก่ร่างกาย ได้อย่างพอเพียง มีแต่จะ
ให้แป้งและไขมันเกินจำเป็นซะอีกด้วย และเมื่อร่างกาย อยู่ในภาวะขาดสารอาหารเมื่อใด ระบบต่างๆ ภายในร่างกายก ็จะทำงานได้ไม่เป็นปกติ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ระบบต่างๆ ทำงานอย่างไร้ประสิทธิภาพ เมื่อนั้นก็เปรียบเสมือนเครื่องจักร ที่ทำงานแปรปรวน ส่งผลให้ร่างกายเกิดโรคภัยนานาประการได้อย่าง ฉับพลันทันที คนเราโดยมากไม่ได้คำนึง ถึงเรื่องอาหารการกินมากนัก เพราะคิดกันเพียงว่า กินอาหารให้อิ่มท้อง และอร่อยปากเท่านั้นก็เป็น การพอเพียงแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ ผิดมหันต์
อาหารทุกมื้อที่คนเรากินเข้าไปนั้น มิใช่เพียงไปก่อให้เกิดพลังงานแก่ร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว อาหารทุกมื้อที่คนเรากินเข้าไปนั้น มิใช่เพียงไปก่อให้เกิดพลังงานแต่ทว่า อาหารยังเป็นเสมือน ยาวิเศษ ที่จะเข้าไปบำรุงอวัยวะต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มพละกำลังให้แก่ร่างกายอีกด้วย นี่คือคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมเราต้องกินอาหารเสริม เนื่องเพราะอาหารในระดับปกติธรรมดา ยังมีคุณค่าสารอาหาร ไม่ครบถ้วนพอเพียงแก่ร่างกายของคุณไงล่ะ อาหารในพ.ศ. นี้มักมีสารเคมีปนเปื้อน ยากันบูด ยาเร่งให้เจริญ ซึ่งล้วนแล้วแต ่ก่อให้เกิด อันตรายแก่ร่างกายเมื่อ เรากินเข้าไปแล้ว ลองมาพิจารณา อาหารบางชนิดที่ คุณต้องรับเข้าสู่ร่างกายของคุณกันดีกว่า

น้ำอัดลม
ในน้ำอัดลมมักมีสีวิทยาศาสตร์และน้ำตาลทรายขาว ซึ่งหากกินมากๆ เข้าก็จะให้ผลเสียแก่ร่างกาย เพราะมีความเป็นกรดสูง แคลเซี่ยมในตัวคุณก็ จะถูกทำลายไปได้ง่าย เคลือบฟันที่คนเรามีอยู่ตามธรรมชาติ ก็จะถูกทำลายไปได้ในเวลา ไม่ช้าไม่นานเลยเป็นเบื้องต้น

น้ำตาลทรายขาว
คำว่า "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" น่าจะเป็นคำกล่าวที่ไม่ผิดนัก เพราะน้ำตาลมีแต่จะทำให้เกิดความไม่สมดุลเกี่ยวกับเกลือแร่ และวิตามินในร่างกาย น้ำตาลไม่มีสารอาหารที่จะเอื้อประโยชน์อันใดให้คุณเลยแม้แต่น้อย หากกินน้ำตาลมากๆ น้ำตาลมากๆ มีแต่จะทำให้ขาดวิตามินบี ที่มีผลโดยตรงต่อระบบประสาทและกระเพาะลำไส้ แน่นอนว่า แหล่งที่ผลิตน้ำตาลนั้นมีประโยชน์ อย่างเช่น อ้อย แต่ทว่ากว่า จะมาเป็นน้ำตาลทราย สีขาวสะอาด รสชาติแสนหวานได้ก็ต้องผ่านความร้อน ที่ทำลายสาร อาหาร ตามธรรมชาติให้หมดสิ้นไป หากคุณมักปวดหัวบ่อยๆ หรือว่ารู้สึกเชื่องช้าเฉื่อยชา รู้สึกว่าโพรงจมูกอักเสบ ฟันผุ เป็นเบาหวาน เป็นภูมิแพ้ เป็นโรคไขข้อ ประสาทไม่ดีเป็นริดสีดวง รู้สึกหัวใจทำงานไม่ดีนัก นั่นล่ะรู้ไว้เลยว่าอาการต่างๆ นี้ล้วนเกิดมาจาก น้ำตาลที่ร่างกายรับเข้าไปมากเกินจำเป็น นั่นเอง และถ้าคุณจะคำนึง ถึงหลักการที่ว่า น้ำตาลนั้นสำคัญ ต่อร่างกาย ก็อาจใช้ ความหวาน อื่นแทน อย่างเช่น น้ำอ้อยแท้ๆ น้ำผึ้งหรือน้ำตาล จากธรรมชาติอื่นๆ โดยตรงยังไม่แปรรูป เพราะนอกจาก จะไม่มีโทษ ยังมีแต่ ประโยชน์อีกด้วย การกินน้ำตาลทรายขาวมากเกินไป มีแต่จะทำให้น้ำตาล ในเลือดต่ำลง เพราะเมื่อร่างกาย ได้รับน้ำตาลมากเกินพอดี ตับอ่อนก็จะผลิตอินซูลินออกมา เพื่อจะมาเก็บน้ำตาล ซึ่งนั่นเองที่ทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำลง และตับอ่อนที่หลั่งอินซูลินมากๆ ก็จะเสื่อมลงได้ไม่ยากเลย เมื่อนั่นแหละคุณจะมีอาการ เพลียง่าย หงุดหงิด ขี้ลืม ไม่แจ่มใส พาลเกเร กินพร่ำเพรื่อ หัวใจเต้นเร็ว และก็ขาดสมาธิอีกด้วย

พริก
คนเรามักต้องเหยาะพริกไทยโรยหน้าอาหารเกือบทุกจาน แต่ถ้ากินพริกไทยมากเกินไปก็จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดระคายเคือง แถมยังจะเป็นอันตรายต่อไป ตับ และลำไส้อีกด้วย พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้านั้นก็มีสรรพคุณทางยาที่ดีมีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ก็แน่นอน สำหรับการกินมากเกินจำเป็นก็ย่อมจะให้โทษแก่ร่างกายได้เช่นกัน เพราะพริกมีพิษที่สามารถสะสมอยู่ในต่อมต่างๆ ก่อนจะไหลเรื่อยไปในเส้นเลือด อันเป็นเหตุ ให้เส้นเลือดอุดตันได้ เมื่อสารพิษนั้น เกาะกลุ่มรวมตัวกันมากขึ้น และกล้ามเนื้อต่างๆ ก็จะไม่สามารถเคลื่อนไหมได้สะดวก กระดูกข้อต่อก็อาจเกิดอักเสบได้ ไม่ยากเลยในภาวะเช่นนั้น

เกลือทะเล/เกลือแกง
การกินเกลือมากเกินไป มีผลทำให้คุณต้องเผชิญกับโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคตับ โรคกรดใน กระเพาะอาหาร หัวใจไม่ปกติ ภูมิแพ้ ระบบประสาทไม่ผ่อนคลาย นอนไม่ค่อยหลับ โพรงจมูกอักเสบ เป็นต้น เกลือแร่ไอโอดีนนั้นให้ผลดีต่อสุขภาพของคุณ เช่นเดียวกับเกลือจากผัก และหากหลีกเลี่ยงเกลือทะเลไม่ได้ก็ให้ใช้ในปริมาณที่น้อยนิดเท่านั้น

ของหมัก/ของดอง
บรรดาผักดอง และเครื่องปรุงต่างๆ อย่างเช่น ซอสนานาชนิด และน้ำส้มสายชู นั้นไม่ให้ประโยชน์ใดๆ ต่อร่างกายสักนิด และการกินมากเกินไปก็จะก่อให้เกิดอันตรายกับไต และกระเพาะอาหารได้ง่ายมาก

กาแฟ/ชา
คุณรู้ดีอยู่แล้วว่า ชา กาแฟ มีส่วนผสมของคาเฟอีน และทีโอโปรมีน ซึ่งเป็นสารร้ายแรง ที่มีผลต่อระบบประสาท หากคุณกินกาแฟวันละหลายแก้วทุกๆ วัน คุณเตรียมใจได้เลยว่าคุณมีสิทธิ์จะเป็นคน อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เฉื่อยชา ความคิดตื้อๆ ตันได้ทันที แม้ว่าตอนกินเข้าไปแรก ๆ จะทำให้ตาสว่างหายง่วงไป ได้ก็ตาที คาเฟอีนนั้นเป็นตัวการร้าย ที่จะทำลายการดูดซึมแคลเซียมและก็ทำลายวิตามินบีอีกด้วย

ใครบ้างควรกินอาหารเสริม?

ความจริงแล้วคนเราทุกคนควรที่จะกินอาหารเสริมทั้งนั้นเพราะอาหารเสริม ไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกายมีแต่จะให้ประโยชน์อันสูงสุดอีกด้วย แต่ทว่าบุคคลทั้ง 15 ประเภทต่อไปนี้จำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องกิน "อาหารเสริม" หรืออีกชื่อหนึ่ง คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

เด็ก
เด็กเล็ก ๆ มักกินอาหารตามแต่ใจชอบเท่านั้น และเด็กจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่ยอมกินผัก หรือเนื้อสัตว์บางชนิด และนั่นเป็นเหตุให้เด็กได้สารอาหารไม่ครบถ้วน จึงจำเป็นที่จะให้เด็กกินอาหารเสริม วิตามิน เกลือแร่ ซึ่งเป็นอาหารเสริมอันแสนสำคัญสำหรับเด็กๆ
สตรีมีครรภ์ แน่นอนว่าสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ย่อมต้องการอาหารเสริมให้แก่ทารกในครรภ์ ดังนั้น วิตามินอ ีและบีรวม เกลือแร่และเหล็ก จึงจำเป็นเหลือเกินต่อร่างกายในช่วงนั้น
สตรีมีรอบเดือน
ช่วงเวลาที่คุณผู้หญิงมีรอบเดือนนั้น ภาวะในร่างกายจะขาดเกลือแร่ซึ่งร่างกายจึงควรได้รับ ไอโอดีน เกลือแร่ เหล็กเพื่อชดเชย และจะช่วยคลายอาการปวดเกร็งในช่องท้องได้อีกด้วย
สตรีวัยหมดประจำเดือน
ในวัยประมาณ 45-55 ปี สตรีจะหมดสิ้นการมีรอบเดือน และในช่วงนี้ร่างกายก็จะเปลี่ยนแปลง ไม่เป็นปกติดังที่เรามักได้ยินกันว่าคนหมดประจำเดือน มักจะหงุดหงิดง่ายเหลือเกิน การลดอาหารประเภทแป้งและกินอาหารเสริมให้มาก ๆ จะช่วยปรับความสมดุลให้แก่ร่างกายได้ดีขึ้น
คนสูงอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น ความต้องการกินอาหารก็ลดลงไป การดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกายก็เป็นไปอย่างลดลง ภาวะนี้ทำให้ร่างกายไม่ได้พลังงานใดๆ หรือสารอาหารใดๆ เลยจากอาหาร การกินอาหารเสริมจะทำให้ร่างกาย ไม่อ่อนแรงจนเกิดโรคภัยต่างๆ ได้ง่าย
นักดื่ม
ในการดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินปริมาณพอเหมาะนั้นจะทำให้ร่างกายของคุณขาดสารอาหาร นานาชนิด ซึ่งนักดื่มทั้งหลายควรกิน อาหารเสริมให้มากๆ เข้าไว้ แต่ถ้าคุณดื่มเพียงไม่มากนัก แอลกอฮอล์จะกระตุ้นหัวใจให้เลือดลมทำงานคล่องตัว มีความอยากรับประทานอาหารอีกด้วย
นักสูบ
คุณตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่แล้วแน่นอน แต่ถ้าคุณยังเลิกสูบบุหรี่ไม่ได้ คุณก็ควรจะสนใจการกินอาหารเสริมเพื่อ ชะลอโรคภัยร้ายๆ ต่างๆ ให้เกิดขึ้นไม่เร็ว เกินไปนัก อย่างเช่น การกินวิตามินต่างๆ ที่มีความสามารถต้านโรคมะเร็งได้ คุณก็ควรกินวิตามินนานาชนิดนั้นให้มาก ๆ เพื่อป้องกันไว้ก่อน
คนลดความอ้วน
ในช่วงเวลาที่คุณควบคุมอาหารนั้น สารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายควรจะได้รับก็ต้องมีอัน หมดสิทธิ์อย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องควบคุมอาหาร ก็ขอให้กินอาหารเสริมอย่างเช่น พวก โปรตีนจากถั่วเหลือง วิตามินซี วิตามินอี เกลือแร่ แคลเซี่ยม วิตามินบี6 ไฟเบอร์ และแมกนีเซียม เป็นต้น
คนเครียด
ดูเหมือนว่าคนเครียดจะมีอยู่มากมายในปัจจุบันวันนี้ แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ทำไมเมื่อมีอาการเครียดจึงสมควร ที่จะกินอาหารเสริม นั่นก็เพราะว่าเมื่อคุณเริ่มเครียด "อะดรีนาลิน" (Adrenalin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดก็จะหลั่งออกมาอยู่ในกระแสโลหิต เป็นปริมาณมากมายซึ่งจะทำให้คุณปวดศีรษะ และเป็นต้นตออันจะก่อให้เกิดโรคเส้น เลือดอุดตันได้อีกด้วย และในวินาทีที่คุณเครียดนั้น ร่างกายของคุณมีความต้องการอาหารเสริมอย่างมากทีเดียว
ผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ซึ่งมีมลพิษสูง
ผู้ที่มักดื่มน้ำประปาอันมีคลอรีนสูง ผู้ที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์แข็งแรง ผู้ที่กินยาประเภทสเตอรอยด์และยาคุมกำเนิดซึ่งทำลายวิตามินและเกลือแร่ ในร่างกาย นักกีฬา หรือผู้ที่เล่นกีฬาเป็นประจำ

อาหารเสริมเหมาะสำหรับใครบ้าง?

วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ในรูปผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จะมีประโยชน์ในการเสริมช่องว่างทางคุณค่าอาหารเป็นอย่างมากกับกลุ่มคนต่อไปนี้
• ราว 1 ใน 5ของผู้หญิงจะมีอาการเลือดจาง ซึ่งมักจะมีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง แล็บและผิวหนังซีด ทางที่ดีที่สุดควรกินอาหารเสริมจึงจะช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้
• สำหรับผู้ที่กินอาหารไม่ครบทั้ง 3 มื้อ ควรกินวิตามินรวมเสริมเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ
• ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติ ซึ่งได้รับแต่โปรตีนจากพืช ควรกินอาหารเสริมในกลุ่มวิตามินบี
• ผู้ที่สูบบุหรี่ควรกินวิตามินซีเป็นสองเท่าของปริมาณที่แนะนำ
• ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด หรือใช้ฮอร์โมนเสริม ควรกินหลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามินบี 6 บี 12 กรดโฟลิก และสังกะสี
• หญิงตั้งครรภ์ควรกินกรดโฟลิก 400 ไมโครกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันการติดเชื้อที่กระดูกสันหลังของทารกในครรภ์
แม้จะมั่นใจว่าร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ อย่างเพียงพอแล้ว แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และไม่ควรมองข้าม


โรคร้ายอันเกิดจากการขาดอาหารเสริม

1. โรคเยื้อจมูกอักเสบ 11.โรคความดันโลหิตสูง
2. โรคเก้าท์ 12.โรคลมปัจจุบัน
3. โรคแผลในกระเพาะอาหาร 13.โรคหมดสมรรถภาพทางเพศ
4. โรคอาหารไม่ย่อย 14.โรคมะเร็งในปอด
5. โรคชัก (ลมบ้าหมู 15.โรคถุงลมโป่งพอง
6. โรคต่อมธัยรอยด์ 16.โรคเกี่ยวกับระบบประสาท
7. โรคตับ 17.โรคโลหิตจาง
8. โรคหัวใจ 18.โรคเหน็บชา
9. โรคมะเร็ง (ที่ตับ) 19.โรคเบาหวาน
10. โรคหลอดลมอักเสบ

ความจริงแล้วยังมีโรคภัยอีกนานาชนิดที่จะรบกวานและทำร้ายรังแกให้ร่างกายของคน เราเจ็บปวดและได้รับ อันตราย คุณคงตระหนักแล้วว่าการขาดสารอาหารหรือภาวะที่ร่างกาย มีอาการผิดปกติเป็นไปได้อย่างเห็นชัด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขาดวิตามินซี และวิตามินบีรวม คุณก็จะมีอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย ขาดเสน่ห์ไปในทันที แต่ถ้ากินวิตามินบีรวมมากๆ อาการเหล่านี้ก็จะหมดสิ้นไป กลายเป็นคนร่าเริง อารมณ์ดีเป็นนิจ แต่ทว่าโดยมากการขาดสารอาหารเสริม จะไม่มีผลเสียเล็กน้อยแค่ในเรื่องของอารมณ์เท่านั้น หากแต่จะมีผลกระทบต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายจนเป็น เหตุให้เกิด โรคใดโรคหนึ่งขึ้นมาได้ในที่สุด และแน่นอนว่าการรักษานั้นย่อมไม่ง่ายเท่ากับการป้องกันไว้ก่อน ด้วยการหันมาสนใจ เรื่องราว ของอาหา

Read More......

ผักเม็ดคืออะไร?


ผักเม็ด...

คือ สารคลอโรฟิลล์เข้มข้นสกัด จากวีทกราสและอัลฟัลฟา(wheatgrass & alfalfa) ที่ปลูกด้วยสารอินทรีย์ธรรมชาติบริสุทธิ์บนพื้นที่ที่ปราศจากปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืชและสัตว์ รวมทั้งสารกำจัด วัชพืชสังเคราะห์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี ซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารหลัก คือ คลอโรฟิลล์ และสารอาหารชนิดอื่นๆ ที่มี เช่น วิตามินเบต้า แคโรทีน วิตามิน B6 ,วิตามินเอ, วิตามินเค,วิตามินอี, วิตามินดี, แคลเซี่ยม และฟอสฟอรัส


วีทกราสหรือกล้าข้าวสาลี (Wheatgrass)

ได้รับการบันทึกใน ตำรายาของกรีก โรมัน และจีน มาแต่โบราณกาล ชาวจีนเชื่อว่าสีเขียวของข้าวสาลี Wheatgrass(ซึ่งหมายถึงคลอโรฟิลล์)สามารถฟอกเลือดและเพิ่มพลังชีวิต เมล็ดข้าวสาลีสามารถเก็บเกลือแร ่จากผืนดินนับร้อยชนิด ทั้งยังอุดม ด้วยโปรดีน คลอโรฟิลล์ วิตามินเบต้าแคโรทีนบีและซีมีงานวิจัยมากมายระบุว่า ในกล้าข้าวสาลี(wheatgrass)มีสารต้านมะเร็งมากมาย เช่น กรดแอบซิลิควิตามินบี 17 และวิตามิน และวิตามินซี ในปริมาณสูง คุณแอนน์ วิกมอร์ นักธรรมชาติบำบัดในอเมริกาผู้มีชื่อเสียงได้ริเริ่มในการเพาะข้าวสาลีงอก แล้วเกี่ยวมาปั่นน้ำ เพื่อจะได้คุณค่าอาหารอันสุดยอดจากกล้า และเป็นที่เผยแพร่ไปทั่วโลกดร.เบนจามิน เกอร์สกิ้น แห่งมหาวิทยาลัยเทมเปิ้ลรายงานในวารสารอเมริกัน เจอร์นัล ออฟ เซอเจอรี่ว่า คลอโรฟิลล์เป็นยาที่ออกฤทธิ์ได้ดี และอ้างถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางหู คอ จมูก 2 คน คือ นพ.เรดพาธ และ นพ.เดวีส ได้ใช้คลอโรฟิลล์รักษาโรคหู คอ จมูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแผลในเยื่ออ่อน ทั้งแผลตื้นและลึกในผู้ป่วยกว่า1,200 ราย ซึ่งผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจทั้งหมด

อัลฟัลฟา (Al-fal-fa) แปลว่า บิดาของอาหารทุกชนิด (Father of all food) เนื่องจากอัลฟัลฟาเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีรากหยั่งลึกลงไปใต้ดินจึงสามารถดูดซึมแร่ธาตุ ที่อยู่ลึกมากมนุษย์เรา นำกล้าที่กำลังงอก มารับประทาน เนื่องจากอุดมด้วยคลอโรฟิลล์วิตามินเอนไซม์และแร่ธาตุ ดร.แฟรงค์ไบเออร์นักชีววิทยา ที่เขียนตำราเกี่ยวกับ โภชนาการเลื่องชื่อของชาวอเมริกันขนานนามอัลฟัลฟา(alfalfa)ว่าเป็น "ยารักษาโรคที่มหัศจรรย์" เขาค้นพบว่า อับฟัลฟามีเอนไซม์สำคัญถึง 8 ชนิด มีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน 8,000 หน่วยวิตามินเค 20,000 - 40,000 หน่วย ทั้งยังเป็นแหล่งสำคัญของ วิตามินบี6 อี ดี ยู แคลเซี่ยมและฟอสฟอรัส
** ทานผักเม็ด 1 เม็ด = ทานผักสด 2 กิโลกรัม**

คุณสมบัติที่ชัดเจนและทดสอบได้ของผักเม็ด (คลอโรฟิลล์)

อุดมด้วยสารอาหารทั้งหมด 92 ชนิด มีคลอโรฟิลล์เข้มข้น คลอโรฟิลล์ในวีทกราสและอัลฟัลฟา(wheatgrass and alfalfa)จะล้างพิษในร่างกายทำให้เลือดสะอาดและ ไหลเวียนดีขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รับประทาน จุและชอบรับประทานเนื้อสัตว์เมื่อเลือดดี ของเสียที่เป็นพิษจะถูกขับออกจากร่างกายเร็วขึ้น ทำให้ผิวพรรณผ่องใสมีสุขภาพที่ดีตามมาบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด จากการพยุง SOD factor ที่กระตุ้นเอ็นไซม์ในเลือด และ ช่วยลำเลียงเลือดดำอย่างมี ประสิทธ์ภาพเพิ่มตัวลำเลียงออกซิเจนในเลือด ทำให้ สร้างพลังงานได้มากขึ้นความเข้มข้นสูงกว่า 40 เท่า 1เม็ด เทียบเท่าผักสด 2 กิโลกรัม สร้างเม็ดเลือดใหม่ที่สะอาดและเพิ่มปริมาณมาก จะเห็นว่า หน้าตาและ ผิวพรรณ มีสีแดงมากขึ้น ร่างกายมีความทนทานมากขึ้น แข็งแรง ไม่เหนื่อยง่ายตรวจสอบ และแก้ไขร่างกายที่มีปัญหา เช่น ปวดตามร่างกาย, ไมเกรน, ภูมิแพ้, ปวดท้อง, ไขข้อ และอื่นๆ ทำให้เกิดอาการขึ้นมาอีก ก่อนที่จะหายไป ผู้ที่มีสารตกค้างตามร่างกายเช่นยาทาน,ฝุ่นมลพิษ,ยาฆ่าแมลง,สารตกค้างจากเหล้า, ฮอร์โมนเร่งจากเนื้อสัตว์ หลังทาน จะถูกขับออกมาตามร่างกาย ตามแขน ขา หรือ บริเวณคาง ทำให้เป็น ผื่นคัน หรือ สิวการลดลงของสารพิษ จะรักษาสมดุลและความหนืดของน้ำตาลในเลือด ทำให้สภาวะของน้ำตาลในเลือดดีขึ้นดื่มเหล้าจนเมา ทาน 2 เม็ดก่อนนอน เช้ามาไม่มีอาการปวดและมึนศีรษะ(แฮงค์)เหมือนไม่ได้ดื่มเลย กัด และเกลี่ยให้ทั่วปากจะทำให้ไม่มีกลิ่นปาก อีกทั้งลดอาการเสียวฟันด้วย ถึงแม้ว่าก่อนนอน จะไม่ได้แปรงฟัน ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า ทำให้ลำไส้ทำงานดีขึ้น ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเชื่อว่าช่วยระบบภูมิต้านทาน ที่ต่อสู้กับโรคมะเร็งและโรคการเสื่อมถอยชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของการผิดปกติของเซลล์ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก เช่นผู้สูงอายุ ทานต่อเนื่องเกิน 5 เดือนจะไม่มีปัญหาอีกเลย และ ไม่ต้องกลัวหกล้ม ผู้มีปัญหาผมบาง หรือ ผมร่วง จะทำให้ผมร่วงก่อน แล้วขึ้นใหม่จะแข็งแรง ไม่หลุดร่วง

Read More......

เคล็ดการใช้อำนาจบุญแก้กรรม-ปัญหาชีวิต โดยพระอาจารย์เกษม



พวกเราชาวพุทธแต่ละคน ล้วนเคยทำบุญ ให้ทานมาแล้วทั้งสิ้น ทั้งในชาตินี้และในชาติก่อน ๆ ถ้าจะนับบุญก็คงจะใหญ่เท่าก้อนโลก แต่ไม่รู้จักใช้บุญของตนเองให้เกิดประโยชน์ในปัจจุบันชาติ จึงต้องรอให้ตายก่อนแล้วจึงไปรับบุญในสวรรค์ คนทำบุญจึงชอบบ่นว่า ทำแต่บุญไม่เห็นได้ดีสักที
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ
เราไม่เคยให้บุญแก่เทวดาที่รักษาตัวเอง ไม่เคยให้บุญแก่นายเวรที่ตามจองล้างจองผลาญกันอยู่ ไม่เคยให้บุญแก่เทวดาและญาติทิพย์ ที่อาศัยอยู่ในเขตบ้านในเขตเรือนของเรา เทวดาเหล่านั้นบางองค์อาจมีบุญน้อย มีฤทธิ์น้อย จึงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเราได้มาก แต่ถ้าเขาได้รับบุญจากเราบ่อย ๆ เขาจะกลายเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์ มีอำนาจ สามารถช่วยเหลือให้เราประสบความสำเร็จได้

บางคนอ้างว่าทำบุญทุกครั้งก็กรวดน้ำให้ญาติ ให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้ง ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง โปรดเข้าใจว่า ท่านให้ไม่เป็น เขาจึงไม่ได้รับ เช่น ให้ไม่เจาะจง หรือแสงบุญหมดแล้วจึงมากรวดน้ำให้ เขาก็ไม่ได้รับ


การอุทิศบุญ

มี ๒ แบบคือ

๑. การอุทิศบุญทันที เมื่อมีการให้ทาน

ขณะที่มีการให้ของแก่ใครก็ตาม กระแสบุญจะแผ่ออกจากตัวผู้ให้เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่ของหลุดจากมือผู้ให้ จากนั้นกระแสบุญนี้ก็จะพุ่งหายขึ้นไปสะสมเป็นกองบุญของผู้ให้ เก็บไว้บนสวรรค์ ดังนั้น ขณะที่เราให้ของกับใคร เราจึงควรอุทิศบุญในทันทีที่ของหลุดจากมือเรา โดยการให้คิดว่า “บุญนี้ให้ถึง............” เพราะนอกจากผู้ที่เราอุทิศให้จะได้รับบุญในทันทีแล้ว กระแสบุญของเราก็จะยิ่งไปสะสมเป็นกองบุญของเรา มากยิ่งขึ้นไปอีกด้วย

ฉะนั้น เมื่อมีการให้ทาน เราจะต้อง อุทิศบุญหลังจากที่ของนั้นหลุดจากมือในทันที ไม่ใช่ยกของขึ้นมาจบอุทิศตั้งแต่ก่อนให้ทาน หรือให้ทานเสร็จไปนานแล้วจึงค่อยอุทิศ หรือรอให้พระว่า “ยะถา” ก่อนแล้วจึงเทน้ำอุทิศ ถ้าเช่นนั้นผู้ที่เราอุทิศบุญให้นั้นจะไม่ได้อะไร เพราะตอนเทน้ำไม่มีสัญญาณบุญปรากฏ เราจึงควรให้ของทีละชิ้น อุทิศบุญให้ทีละกลุ่ม หรือทีละคน เช่น เวลาเราเอาของถวายพระ ยกข้าวถวาย พอข้าวหลุดจากมือปั๊บ ให้อุทิศบุญทันทีว่า “บุญนี้ให้ถึงญาติข้า” พอยกแกงถวาย พอชามแกงหลุดจากมือปั๊บ ให้อุทิศทันทีว่า “บุญนี้ให้ถึงเทวดาที่รักษาข้า” พอยกกับข้าวอย่างอื่นถวายพอของนั้นหลุดจากมือปั๊บ ให้อุทิศทันทีอีกว่า “บุญนี้ให้ถึงนายเวรข้า” พอยกน้ำถวาย ขวดน้ำหลุดจากมือปั๊บ ให้อุทิศทันทีอีกว่า “บุญนี้ให้ถึงเชื้อโรคของข้า” ถ้าต้องการจะอุทิศให้ใครเป็นการเฉพาะก็ให้ใส่ชื่อคน ๆ นั้นลงไป เช่น “บุญนี้ให้ถึงนาย หรือนาง......................” เป็นต้น

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราโดยตรงที่เราสมควรจะอุทิศบุญให้ มีดังนี้

๑. ญาติของข้า
๒. เทวดาที่รักษาข้า
๓. นายเวรของข้า
๔. เชื้อโรคที่รบกวนข้า

เชื้อโรคก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง นายเวรก็เป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่กวนเรา เทวดาผู้รักษาก็เป็นสัตว์อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งรักเรา ญาติเราก็คือสัตว์ที่เกี่ยวข้องกันโดยสายเลือดมาก่อนแล้วตายจากกันไป หรือยังอยู่ แต่ถ้ายังอยู่ก็ไม่ต้องอุทิศบุญให้ ให้เราอุทิศบุญให้ผู้ที่รักษาเขา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาตามบ้านเรือน ผู้อยู่ข้างในข้างนอกตัวเขา

หรือจะจำแนกประเภทออกตามภูมิของผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราอยู่ ก็ให้อุทิศบุญให้แก่ เทวดา เปรต ผี ปีศาจ ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ มาร และพรหม ทั้งฝ่ายนายเวร และฝ่ายญาติของข้า

เทวดา เปรต ผี ปีศาจ ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ อสูร จะถึงความเจริญขึ้น มีสง่าราศีที่ดี ถ้าเขาอธิษฐานบุญจ่ายไปในทางที่ดี หรืออธิษฐานพลังงานของเขาไปยังผู้คน ให้คนคิดในสิ่งที่ดี ๆ เขาจะได้บุญตรงนั้น

การอุทิศบุญ ให้อุทิศบุญให้ทีละกลุ่ม อย่าให้แบบให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เหมือนเวลาเราส่งก๋วยเตี๋ยวให้กับคนหลาย ๆ คน ให้ส่งทีละชาม อย่าเอาก๋วยเตี๋ยวใส่หม้อใหญ่ ๆ แล้วสาดเข้าไปในฝูงคนทีเดียว

การอุทิศบุญในขณะที่ได้ใส่บาตรหรือได้ถวายของพระนั้น เมื่อของหลุดจากมือของตนปั๊บให้รีบคิดอุทิศบุญทันทีอย่าชักช้า แล้วก็ไม่ต้องไปกรวดน้ำให้เสียเวลา เพราะ บุญจะสำเร็จแก่ผู้ที่อยู่ในโลกทิพย์ จากการอุทิศให้ทันที ไม่ใช่สำเร็จเพราะการกรวดน้ำ

การอุทิศบุญหากอยากเทน้ำ ก็ให้เทหลังจากเราอุทิศแล้วก็ได้ เทให้ใครดื่มกินนั้นเป็นบุญ แต่ถ้าเทแล้ว เอาไปเททิ้งอาจจะเกิดบาปได้ เมื่อเข้ารูมด รูปลวก

ถ้าแปลตรง ๆ จาก ยะถา วาริวะหา, สัพพีติโย และภะวะตุ สัพพะมังคะลัง

ยะถา วาริวะหา แปลว่า ห้วงน้ำที่เต็มย่อมทำให้สมุทรสาครเต็มเปี่ยมด้วยน้ำได้ฉันใด ทานที่เราให้แล้วในโลกนี้ อุทิศไปแก่ผู้ละโลกนี้เต็มเปี่ยมเหมือนน้ำในมหาสมุทรฉันนั้น อิฐผล (ผลเป็นที่พอใจ) ทั้งหลายที่เราตั้งใจให้ทานแล้วอุทิศ มันเกิดมากกับเขาอย่างนั้น เกิดมากตลอดกาลในขณะที่เราอุทิศ และไปเกิดกับเขาโดยเร็วพลันด้วย และเมื่อเขาได้บุญแล้ว จันโท ปัณณะระโส ยะถา มะณิ โชติ ระโส ยะถา ฯ สว่างไสวเหมือนพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ

และเมื่อเต็มเปี่ยมอย่างนั้นแล้วทีนี้เขาก็ดีใจ พวกนายเวร พวกเชื้อโรค พวกใครต่อใครที่ก่อกวนเรา เขาดีใจเขาก็วาง ความจัญไรที่เขานำมาใส่ เขาก็จะพาหนี สัพพีติโย ความจัญไรทั้งหลาย วิวัชชันตุ จากเราไป สัพพะโรโค วินัสสะตุ โรคทั้งหลายก็จากเราไป ภะวัตวันตะราโย อันตรายก็จากเราไป สุขี ทีฆายุโก ภะวะ สุขทั้งหลายก็เข้ามา เมื่อได้ความสุขก็เจริญยาวนาน

เมื่อเรารู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ มีการกราบไหว้ต่อ บิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ทั้งหลายอยู่ ความเจริญย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำเช่นนี้ มี ๔ อย่างคือ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง มีอายุยืนยาว มีผิวพรรณ ผุดผ่อง มีสุขอันยิ่งใหญ่ มีกำลังมหาศาล ทีนี้เมื่อความเจริญทั้ง ๔ มีเกิดขึ้นกับเราแล้ว เราอยู่สบายเพราะว่าเราได้สร้างมงคลแล้ว

มงคลคือสิ่งที่ดีครอบคลุมตัวเราทั้งหมดเรียกว่ามงคล ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง อันมงคลเราได้ทำแล้ว รักขันตุ สัพพะเทวะตา เทพยดาทั้งหลายจงรักษาผู้ทำบุญ สร้างความดี สร้างมงคลนี้แล้ว

สัพพะพุทธานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า สัพพะธัมมานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม สัพพะสังฆานุภาเวนะ ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ดังนี้ สะทาโสตถี ขอความสุขสวัสดีทั้งหลายทั้งปวง ภะวะตุ เต ฯ จงมีแก่พวกท่านทั้งหลายเทอญ.
อนุโมทนารัมภคาถา

ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนฺติ สาครํ....เอวเมว อิโต ทินฺนํ เปตานํ อุปกปฺติ....
ห้วงน้ำที่เต็ม ย่อมยังสมุทรสาคร ให้บริบูรณ์ได้ฉันใด....ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วแต่โลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว ฉันนั้น
อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุมฺหํ...ขิปฺปเมว สมิชฺฌตุ
ขออิฐผล (ผลเป็นที่พอใจ) ที่ท่านปรารถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว....จงสำเร็จโดยฉับพลัน
สพฺเพ ปูเรนฺตุ สงฺกปฺปา....จนฺโท ปณฺณรโส ยถา....มณิ โชติรโส ยถา
ขอความดำริทั้งปวง จงเต็มที่....เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ....เหมือนแก้วมณี อันสว่างไสว ควรยินดี

ที่มา..หนังสือสวดมนต์แปล พระศาสนโศภน (จตฺตสลฺโล) วัดมกุฏกษัตริยาราม ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๑

เมื่อให้ทาน ขอให้อุทิศพร้อมในขณะเมื่อวางสิ่งของให้ทาน ขาดจากสิทธิของตนเมื่อใด ให้อุทิศพร้อมกับที่ตนขาดสิทธิ์ในเมื่อนั้น ในวินาทีเดียวกันนั้น ผลบุญจะปรากฏแก่ผู้ที่เราอุทิศบุญให้อย่างแน่นอน

การให้ทานให้อุทิศบุญออกทันที นี่คือวิธีการสร้างความเจริญให้แก่ปัจจุบันและอนาคต แต่ถ้าให้ทานแล้วไม่อุทิศบุญ นั่นคือการสร้างความเจริญให้แต่อนาคตของตนเองเพียงอย่างเดียว พวกทำความดีแล้ว ใจแคบ ทำความดีแล้วไม่เอื้อเฟื้อ คือทำความดีแล้วไม่รู้จักอุทิศบุญ เหมือนกับมีของไม่รู้จักแจก หากเวลาคับขันก็จะไม่มีใครมาช่วยเหลือเรา
การทำบุญแล้วไม่ได้อุทิศให้ใคร บุญจะเป็นของเราเท่านั้น เช่น ถ้าเราทำบุญ ๑๐๐ บาท ผลบุญเป็นของเรา ร้อยล้าน มันก็จะอยู่แค่ร้อยล้าน แต่ถ้าเราอุทิศบุญด้วย มันจะออกเป็นพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน คือมีกำไรที่เกิดจากการอุทิศบุญเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งอุทิศยิ่งได้

การที่คนให้ทานเพื่ออุทิศ มันเป็นบุญ ๒ ทอด พระพุทธเจ้าจึงสรรเสริญและพาทำ แต่ถ้าให้ทานอย่างเดียว มันเป็นบุญทอดเดียว ไม่แผ่กระจายกำไร

ก่อนที่เราจะอุทิศบุญ ถ้ากลัวว่าผู้ที่เราอุทิศบุญไปให้นั้นจะไม่ได้รับ ให้อธิษฐาน “ขออำนาจพุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลกระแสคิดนี้ ให้ถึงญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร และเชื้อโรคของข้า ฟังไว้ข้าจะอุทิศบุญแล้ว ต่อไปขอให้พวกท่านตั้งใจรับ รับแล้วรักษากันให้ถูกต้อง บรรดานายเวรทั้งหลายจงปลดปล่อยวาง บรรดาเชื้อโรคจงถอยไป เปลี่ยนแปลงจากภูมิต่ำเป็นสูงด้วยเถิด”

การอุทิศบุญหากรู้ว่าเปรต หรือเทวดาที่เป็นญาติอยู่ใกล้ ให้อุทิศเป็นวาจาเลยก็ได้ รู้ว่าอยู่ไกลอุทิศเป็นกำลังความคิด เรียกว่าแรงอธิษฐาน หรือใช้ความคิดอยู่ภายในไม่พูด การอุทิศเช่นนั้นเป็นประโยชน์ทั้งใกล้และไกล

ความคิดเห็นจากผู้รวบรวม การอุทิศบุญถ้ากลัวว่าผู้ที่เราอุทิศบุญไปให้จะไม่ได้รับ ควรใช้ทั้งการเปล่งเสียงออกมาเป็นวาจาอุทิศ และการใช้ความคิดอุทิศ ไม่ว่าผู้ที่เราอุทิศบุญให้จะอยู่ใกล้หรือไกล ทั้งนี้ให้ดูกาลเทศะด้วยว่าไปรบกวนโสตประสาทคนรอบข้างหรือไม่ หากจะเปล่งเสียงออกมาเป็นวาจาอุทิศ

ถ้าจะอุทิศบุญให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้อุทิศบุญไปให้ ญาติ เทวดาที่รักษา นายเวร และเชื้อโรค ที่เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้น จงรักษาท่านผู้นั้นให้ปลอดภัยด้วยเถิด

เวลาทิ้งเศษอาหารลงในแม่น้ำ ลำคลอง มีปลามากิน มีสัตว์ในน้ำมากิน เราอุทิศบุญได้ อุทิศให้กับผู้รักษาน้ำ น้ำจะไม่สกปรก เพราะผู้รักษาน้ำเขาจะรักษาดี

แม้แต่ขับถ่ายออกมา หรือเทขยะลงในบ่อโสโครก หลุมโสโครก คิดว่าให้เป็นอาหารกับสัตว์ในบ่อโสโครก หลุมโสโครกก็เป็นบุญ อุทิศบุญให้พวกนายเวร พวกเชื้อโรคได้

การร่วมยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นให้ทานหรือทำความดีต่าง ๆ (การร่วมอนุโมทนาบุญ) จะมีบุญเกิดขึ้นกับเรา ฉะนั้นให้เราอุทิศบุญนั้นออกได้ทันที
หมายเหตุ การทำบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ หากผู้ทำมีการยินดี หรือมีความสุขในการทำ เช่น การให้ของกับใครก็ตาม การทำกับข้าวให้ครอบครัว การให้เงินลูก การให้ข้าวสุนัข ให้ข้าวแมวกิน หรือการทำอะไรให้ผู้อื่น ก็ถือว่าเป็นบุญทั้งสิ้น สามารถอุทิศบุญได้

การอุทิศบุญนี้ทำได้ทุกชาติ ทุกศาสนา หากว่านับถือศาสนาอื่น เมื่อให้สิ่งของกับใคร ก็ให้อธิษฐานว่า “ความดีนี้ให้ถึง.............”

Read More......

Tuesday, May 13, 2008

ความเป็นมาของคลอโรฟิลล์

สารประกอบคลอโรฟิลล์ได้รับการค้นพบสูตรโครงสร้างทางเคมีครั้งแรกเมื่อประมาณต้นศตวรรษที่ 20 โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อ ศาสตราจารย์ ฮาน์ส ฟิชเชอร์ (Hanns Fisher,M.D.)และเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบล (Noble’s Prize) เนื่องจากสามารถใช้ความเร้นลับของคลอโรฟิลล์ได้สำเร็จ และจากการค้นพบดังกล่าวทำให้เราทราบว่า สูตรโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ มีลักษณะคล้ายคลึงกับสูตรโครงสร้างของสารประกอบ ฮืม(Heme) ที่เป็นโครงสร้างหลักของเม็ดเลือดแดง(Red Blood Cell) ของคนเราอย่างมาก

และจากการวิจัยทางการแพทย์ หลายการวิจัยก็ยืนยันได้ว่า ร่างกายของคนเราก็สามารถนำเอาสารคลอโรฟิลล์นี้ไปเป็นสารตั้งต้น (Precursor) ในการสร้างเม็ดเม็ดเลือดแดงได้เมื่อร่างกายต้องการโดยเฉพาะในภาวะที่ร่างกายของเราเกิดความบกพร่องในการสร้างเม็ดเลือดแดงเนื่องจากขาดสารอาหาร อย่างเช่น ในภาวะโลหิตจาง ( Anemia)ฯลฯ

เป็นที่ทราบกันดีว่าคลอโรฟิลล์เป็นรงควัตถุที่พบในพืชที่มีสีเขียว และใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช โครงสร้างของคลอโรฟิลล์นั้นคล้ายคลึงกับ ฮืม(Heme) ในฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดง จึงมีผู้เรียกคลอโรฟิลล์ว่าเป็น “the blood of plants” จึงมีการศึกษาถึงฤทธิ์ของคลอโรฟิลล์ดังนี้


1. ต่อต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์ และลดอัตราการเกิดมะเร็ง
2. ฤทธิ์ในการต้านการติดเชื้อ
3. กำจัดกลิ่นที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกาย
4. ช่วยในการรักษาบาดแผล
5. รักษาอาการท้องผูก
6. ช่วยลดพิษหรืออาการข้างเคียงจากยาบางชนิดได้
7. รักษาภาวะนิ่วชนิด calcium oxalate stone
8. กระตุ้นการสร้างเลือดในผู้ป่วยโลหิตจางได้
9. ช่วยเพิ่มปริมาณเลือดให้กับร่างกาย
10. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาออกชิเจนเข้าสู่เซลล์
11. ช่วยขจัดสารพิษในเลือด ตับ และไต
12. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
13. ปรับสมดุลให้กับร่างกาย
14. ให้ความสดชื่น
15. ผิวพรรณสดใส
16. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
17. มีความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
18. เสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ฯลฯ


Read More......

Thursday, May 1, 2008

คลอโรฟิลล์ คืออะไร?


คลอโรฟิลล์ คืออะไร คลอโรฟิลล์ เป็น pigment ที่พบในพืชที่มีสีเขียวและใช้ในการสังเคราะห์แสงของพืช โครงสร้างนั้นคล้ายคลึงกับ Hemeในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเลือด มีงานวิจัยสรุปออกมาว่า เมื่อร่างกายได้รับคลอโรฟิลล์ บางส่วนของคลอโรฟิลล์จะถูกเปลี่ยนเป็น Heme ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพิ่มมากขึ้น และในคลอโรฟิลล์มีแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย
ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ - ช่วยในกระบวนการล้างสารพิษในเลือด และขจัดของเสียสะสมในร่างกาย ทำให้ สุขภาพดีขึ้น - ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ฟอกเลือดให้สะอาด - ช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ - ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ลดปัญหาเส้นเลือดขอด - เสริมสร้างภูมคุ้มกัน ลดรอยคล้ำใต้ตา ใบหน้าหมองคล้ำ - ช่วยแก้ปัญหากระเพาะลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผลเปื่อย - ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน - ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า - ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย - รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลถลอก แผลโดนไฟ - เหงือกอักเสบ หรือแผลในปาก ทำให้หายเร็วขึ้น - ช่วยลดรอยคล้ำรอบดวงตา - ลดอาการภูมิแพ้ ผื่นลมพิษ แพ้อากาศ โรคหอบหืด - ปรับสมดุลกรดด่าง ในโรคเก๊าท์ รูห์มาตอยด์ เบาหวาน แผลริดสีดวง ผู้ดื่มสุรา

ประวัติการค้นคว้า ในปี 1915 Dr.Richard Wilstatter ได้รับรางวัลโนเบล จากการค้นพบโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ ในปี 1961 นักวิทยาศาสตร์ ชื่อ Melvin Calvin ได้รับรางวัลโนเบล ในการค้นคว้าความสัมพันธ์ของคลอโรฟิลล์ในใบพืช มีส่วนสำคัญในขบวนการสังเคราะห์ จากนั้นเพียง 15 ปี Dr.Hans Fisher ได้รับรางวัล โนเบลจากการค้นพบโครงสร้างของอะตอมเม็ดเลือดแดง (Heme) มีโครงสร้างเหมือนคลอโรฟิลล์ จากงานวิจัยสรุปได้ว่า เมื่อร่างกายได้รับคลอโรฟิลล์ บางส่วนของคลอโรฟิลล์จะถูกเปลี่ยนเป็นฮีม ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่เพิ่มมากขึ้น

Read More......

Wednesday, April 30, 2008

เทียบเคียงสรรพคุณ ต้นอ่อนข้าวสาลี-วีทกราส กับ ผัก และ เนื้อสัตว์



ความฉลาดโดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเป็นที่ประจักษ์มานานนม บางครั้งมนุษย์เราได้เรียนรู้ และเลียนแบบ เช่น จิ้งจกเปลี่ยนสีให้เข้ากับแหล่งที่อยู่ หรือวัวแก่ชอบกินหญ้าอ่อน หญ้าอ่อนดีจริงหรือ (พูดถึงต้นอ่อนของพันธุ์ข้าวที่ปลูกเพียง 7-8 วัน ไม่เกี่ยวกับชายสูงอายุ ศีรษะพญานาค)
ผู้ที่เริ่มคิดค้น คือ ดร.แอน วิกมอร์ เจ้าของมหาวิทยาลัยแอน วิกมอร์ กรุงบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านเคยมีพฤติกรรมการกินไม่ถูกต้อง คือ ชมชอบของหวาน เน้นมัน เค็ม และเนื้อสัตว์ พออายุได้ 50 ปี มะเร็งลำไส้ใหญ่จึงแวะมาเยี่ยมเยือน ผลการรักษา ยมบาลอนุญาตให้หายใจได้อีก 6 เดือน

แต่ท่านไม่รับคำวินิจฉัยในครั้งนั้น คิดค้นทุกวิถีทาง และได้อ่านพบว่าในอดีตจักรพรรดิ์องค์หนึ่งป่วยหนัก รักษาด้วยการดื่มน้ำคั้นหญ้าอ่อนเป็นประจำ ทำให้หายจากอาการป่วย สุขภาพแข็งแรง อายุยืน ดร.แอน ได้ข้อมูลเพียงเท่านี้ จึงหาพันธุ์ต้นหญ้าต่างๆ ได้ 7 ชนิด มาเพาะเป็นต้นอ่อนได้ 7 กระถาง พาน้องหมา และน้องแมว มาเลือกชิมปรากฏว่า คุณเธอเลือกเคี้ยวหญ้าอ่อนจากพันธุ์ข้าวสาลีเพียงอย่างเดียว ดร.แอน จึงสนใจลองปลูก คั้นน้ำสดๆ ดื่มเป็นประจำ ไม่กี่เดือนต่อมา อาการอ่อนเพลีย ตกใจง่าย นอนไม่หลับ มะเร็งลำไส้ใหญ่ หายเป็นปกติ และมีอายุอยู่จนถึง 85 ปี จึงหยุดหายใจ
ดร.เจฟเฟรย์ แบลนด์ ผู้มีชื่อเสียงก้องโลกเรื่องการวิจัยธัญพืช บอกว่า น้ำคั้นต้นข้าวสาลี มีพลังในการดูดซับอนุมูลอิสระ ช่วยให้เนื้องอกหดตัวลงทุกวัน สร้างภูมิต้านทานโรคได้ดี และดีที่สุดสำหรับการยัยยั้งมะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้

น้ำคั้นต้นข้าวสาลี มีกรดอะมิโนครบทั้ง 17 ชนิด จะไล่เรียงให้ดูดังนี้
1. แอบเซนิซิค : ช่วยต่อต้าน ยัยยั้ง ป้องกัน และฆ่าเซลล์มะเร็ง
2. ไลซีน : ชลอความชรา
3. ลิวซีน : ให้พลังงาน และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท
4. ทริฟโตเฟน : ช่วยการผลัดเซลล์ผิว และการงอกใหม่ของเส้นผม
5. เฟนนีลอะลานีน : ดูแลการทำงานของต่อมไทรอยด์
6. เทรอโรนีน : ช่วยการย่อยอาหาร
7. วาลีน : ทำให้สมอง และกล้ามเนื้อทำงานได้สัมพันธ์กัน
8. เมทโธไอนีน : เป็นผู้ทำความสะอาดล้างตับ และไต มีโปแตสเซียมจากพืช เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องล้างไตประจำ
9. อะลานีน : ช่วยสร้างเม็ดเลือด ดีมากสำหรับโรคเกี่นวกับเลือดทั้งหมด
10. อากินีน : ปรับธาตุน้ำในร่างกายให้สมดุล
11. กรดไขมันกลูทามิค : ช่วยให้ร่างกาย จิตใจ สดชื่น ไม่ห่อเหี่ยว
12. กรดแอสพาติค : ให้พลังงาน ซาบซ่าส์...กระปรี้กระเปร่า
13. ไกลซีน : บำรุงร่างกายให้แข็งแรง
14. โปรลีน กลูทามิค แอซิค : ช่วยการดูดซึม แก้ไขปัญหากรดไหลย้อน
15. เซรินีน : กระตุ้นและสร้างเซลล์สมองให้ฉลาดปราดเปรือง
16. ไอโซลิวนีน : ช่วยการเจริญเติบโตของทารกลูกน้อย
17. ฮีลทีดีน : ปรับระบบประสาท และการได้ยินแต่เรื่องดีๆ
นอกจากยี้ยังมีการเปรียบเทียบสารอาหาร และแร่ธาตุของต้นอ่อนข้าวสาลี กับผักและเนื้อสัตว์ ตามตารางข้างล่าง










































ตารางการเปรียบเทียบ
ปริมาณ100 กรัมหน่วยต้นอ่อนข้าวสาลีเมล็ดงอกของถั่วตระกูลผักโขมบล็อกโคลี่เนื้อไก่
โปรตีน

ไขมัน

แคลเซียม

Mg

K

ฟอสฟอรัส

ธาตุเหล็ก

โซเดียม

ทองแดง

สังกะสี

แมงกานีส

เซเลเนียม

ไทอามีน

ไนอาซีน

ไรโบฟลาวีน

โฟเลท

วิตามินบี 6

วิตามีนบี 12

วิตามิน เอ

วิตามิน ซี

วิตามิน อี

ก.

ก.

ก.

มก.

มก.

มก.

มก.

มก.

มก.

มก.

มก.

ไมโครกรัม

มก.

มก.

มก.

ไมโครกรัม

มก.

ไมโครกรัม

IV

ไมโครกรัม

ไมโครกรัม

25%

8%

321

112

3,225

575

25

18,800

0.375

4.870

2.450

2.500

0.350

8.350

16.900

1,110

1.400

0.800

513

214.500

9.100

7%

1%

28

82

169

200

2.140

16

0.261

1.650

1.868

-

0.225

3.087

0.155

38

0.265

-

-

2.600

0.050

3%

0%

99

79

558

49

2.710

79

0.130

0.530

0.879

1

0.078

0.724

0.189

194.400

0.195

-

6,715

28,100

1.890

3%

0%

48

25

325

66

0.880

21

0.045

0.400

0.229

3

0.065

0.638

0.119

71

0.159

-

-

93.200

1.660

17%

20%

10

20

204

172

1.040

71

0.074

1.200

0.019

-

0.114

6.626

0.167

6

0.330

0.320

178

2.400

-



แหล่งที่มาของข้อมูล : Anne Wigmore, 1989 : Steve Meyerrowitz,1998
หนังสือบี เวลล์ No.31 Vol.3 เมษายน 2551, คอลัมน์คลีนิคสีเขียว, โดยสุจิตรา เจริญภภัทรเภสัช

Read More......

Tuesday, April 29, 2008

อัลฟาฟ่า(Alfalfa) “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล”


จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืชกว่า 6,000 ชนิด ทั้งจากใต้น้ำถึงบนพื้นดิน พบว่า พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่สุด คือ อัลฟาฟ่า(alfalfa) เท่านั้น

อัลฟาฟ่า(alflafa) จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืชตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่ระบบรากของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง หรือป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค จึงถูกขนานนามให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA

หรือ “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล” ประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า(alflafa) มักได้จากส่วนใบและลำต้น ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ (ARTHRITIS) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น

อัลฟาฟ่า(alfalfa) เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็ฯครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน ลิวซีน ไลซีน เมไธโอนีน พีนิลอะลานีน เทรโอนีน ทริปโตฟาน และวาลีน และพบว่ากรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี6 ดี อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแคลเซียม

คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ

คลอโรฟิลล์ คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่า คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง ทำให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร แต่จะย่อยและดูดซึมที่ลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกส่งต่อไปสะสมไว้ที่ตับ (liver) ในระยะเวลาหนึ่ง อาจเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น

ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีของมันต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่เม็ดเลือดมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า “เลือดของพืช” (Blood of Plant) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนทำให้ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1915 และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมัน ในปีค.ศ. 1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์

ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg เข้าไปอุดรูพรุนกระดูกต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (Bone Marrow) อยู่ ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด) จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่า คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50% หรือมากกว่า จากกรณีนี้ จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาและอาหารเสริม ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990
คลอโรฟิลล์ ช่วยคุณได้อย่างไร
จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์ ดังนี้
ช่วยให้เลือดสะอาด
ช่วยให้ตับสะอาด เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ
เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย
ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย
ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน
บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้
ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้
ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น
ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง
แก้ปัญหาคนท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น
แก้ปัญหาอาการชา บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
ชะลอความแก่ ทำให้มีอายุยืน
ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก คออักเสบ โดยใช้ผงคลอโรฟิลล์โรยบนแผล จะทำให้แผลหายเร็ว
บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรน
ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผล
แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก คลอเรสเตอรอลในเลือด
มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก ทำให้การมองเห็นดีขึ้น
มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
ลดอาการเมาค้าง
ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ

Reference
1.Bohne C.et ol: Interaction of enzyme-generate species with chlorophyll-alpha and probe bound to serum albumlns (Photochem Photobiol, 1988 Sep) (MEDLINE) 2.Acheson DW, et al : Dianostic delay due to chlorophyll in oral rehydration solution (letter) (lancet, 1987 Jan 17) (MEDLINE) 3.Chemomorsky SA,et al : Biological actives of chlorophyll derivative, (N J Med, 1988 Aug) (MEDLINE) 4.Hooper JK, et al : Photodynamic sensitizers from chlorophyll : purin-18 and chiorin p6 (Photochem Photobiol, 1988 Nov) (MEDLINE)

Read More......

อีเมลล์ติดต่อเรา :

Your Name :
Your Email :
Your Website :
Subject :
Your Message :
Highlighted fields are required